วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมื่อผมกลับบ้านก่อนปีใหม่

เมื่อตอนปีใหม่ปีที่แล้ว ผมใช้เวลาบนท้องถนนเป็น 10 ชั่วโมง พอมาปีนี้ ผมมีวันหยุดพักร้อนเหลือก็เลยขอกลับบ้านก่อนวันปีใหม่ซะเลย

ผมออกจากบ้านประมาณตี 4 ครึ่งแล้วไปรับพี่ชายที่ห้วยขวาง จากนั้นก็ใช้เส้นวิภาวดีไปลงที่รังสิต .. ผมไม่ได้ใช้โทว์เวย์หรอกครับ ในแพง แค่วิ่งทางยกระดับธรรดาก็พอแล้ว

ระหว่างทางก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพราะรถยังมีไม่มาก ขับไปแบบสบาย ๆ ที่น่าสนใจก็ตรงลำตะคอง เพราะมีตำรวจมาตั้งด่านกันแต่เช้าเลย ผมเห็นทางขึ้นทางลงเลย แต่ก็ไม่ได้โดนเรียกอะไร คงประมาณว่าสุ่ม ๆ เรียกตามหน้าที่นะ

ผมมาเจอเรื่องเสียว ๆ แบบจัง ๆ ก็ตอนจะเข้าด่านขุนทดหรือจัตุรัสมั้ง ไม่แน่ใจจริง ๆ ผมเกือบจะชนกับรถปิกอัพเพราะแกไม่ยอมตีไฟแต่เนิ่น ๆ ที่จะเข้าปั้มแหละ

เรื่องมีอยู่ว่า...

มันเป็นช่วงถนน 4 เลนแล้ว ผมเห็นรถข้างหน้าชะลอกันจัง ผมเลยอยากแซงให้พ้น ๆ ไป ก็เลยเข้าเลนกลางเพื่อจะแซง แต่พอสปีดขึ้นไป อ้าว.. ไอ้ปิกอัพข้างหน้ามันจะเลี้ยวขวาแต่เพิ่งจะตีไฟเลี้ยว แล้วยังมีรถปิกอัพอีกคันจะออกจากปั้มแล้วข้ามถนนมาอีก..

เอาละสิ แล้วผมจะทำยังไงดี ตรงไปก็ไม่ได้ เลี้ยวเข้าเลนซ้ายไปต่อแถวเหมือนเดิมก็คงไม่ได้แล้วเพราะรถที่ตามๆ กันมาประชิดมากซะอย่างนั้น ถ้าจะตรงไปก็คงไม่วายที่จะชนกับปิกอัพ 2 คันนั้นที่ตอนนี้หันหน้าใส่กันแน่ ๆ ไม่รู้เขาจะเบรคกันได้ไหน .. เขาจะยอมให้เราผ่านไปได้เหรอ .. เอาวะ เมื่อเป็นแบบนี้ ขอเอาตัวให้รอดด้วยการซิ่งเข้าปั้มไปตั้งหลักก่อนดีกว่า และนับว่าโชคยังดีที่ไม่มีรถวิ่งสวนเลนมาอีก เพราะไม่งั้นผมก็คงวิ่งเข้าปั้มไม่ได้แน่ ๆ

พอวิ่งเข้าปั้ม ผมก็ไม่ได้หันมามองอีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งหน้าตั้งตาขับไปต่อแบบเดิม แต่คุณผู้หญิงที่นั่งข้างหลังสิ เมื่อกี้ร้องจนเสียงหลงเลย .. ก็แน่ล่ะ ซิ่งขึ้นมาจะแซง แต่แซงไม่ได้ ต้องหาที่หลบให้พ้นก่อนจะชน .. เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเองล่ะ ถ้าผมไม่หนีเข้าปั้ม เป็นอันว่าโดนแน่ ๆ เอาเป็นว่าโชคยังดีที่ไม่โดนอีกครั้งในรอบปีและก่อนสิ้นปีนี้ :)

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมื่อผมโดนเข้าแล้ว

เย็นนี้ ผมขับรถออกจากออฟฟิซหลังเลิกงานตามปกติ พอออกสาทร ผมก็รู้สึกว่ารถติดมากเกินที่จะรอให้ค่อยเลื่อนไปทีละวงล้อ ผมเลยตีไฟจะออกขวาเพื่อกลับรถหน้าทิสโก้ ซึ่งก็ไม่เสียเวลามากนักจนไปรอหน้าไฟแดงคันแรกโดยมีมอไซต์อยู่ขวามือ มันก็แปลกนะที่ตามปกติเวลากลับรถ มอไซต์ชอบอยู่ทางซ้ายรถเก๋งมากกว่าทางขวา แต่วันนี้ มอไซต์อยู่ขวารถของผมหมด

พอเปิดสัณญาณไฟเขียวปั๊บ แต่ละคนแต่ละคันก็ซิ่งออกจากจุดเริ่มต้นกันแบบตัวใครตัวมัน .. แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงดังครืด ๆ กระแทกทางซ้ายของผม เอาละสิ โดนเข้าแล้ว .. ดูสิว่าใครหว่า เมื่อกี้ไม่มีรถสักคัน แล้วมันโผล่มาจากไหน !!!!

ผมมองไปข้างหน้า ผมเห็นรถคันหนึ่งท่าทางเสียหลักวิ่งไปมา เออ คันนี้แน่นอน .. ตีไฟเข้าซ้ายเข้าจอดหน้าสถานทูตออสเตรเลีย คุยกันหน่อยสิว่ายังไง ..

ถามไปถามมา เขาบอกว่าซิ่งฝ่าไฟแดงออกมา โอ้ยยยยย ขับรถรมาก็เพิ่งจะโดนเต็มๆ แบบนี้ เอาไงดีล่ะ ไม่เคยด้วย ขอเดินไปดูข้างซ้ายรถของผมนิดหนึ่งก็ไม่เห็นว่ามีอะไร แล้วมันชนตรงไหน ?!?!

คนขับมอไซต์ก็ขอโทษพร้อมกับบอกว่าผมฝ่าไฟแดงออกมาเองแหละ เผอิญเบียดกับวินมอไซต์มา พอดีเขามีแฟนซ้อนท้ายมาด้วยมั่ง ท่าทางจะเจ็บที่ข้อเท้าด้วย (คิดในใจว่าพรุ่งนี้บวมแน่ ๆ ) แต่ตอนนี้ แล้วไงดีล่ะ ยิ่งเป็นคนใจอ่อนง่าย .. ดูรถเราก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก คนของเขาก็เจ็บอยู่นะ คิด ๆๆๆๆๆๆ งั้นก็ให้แล้วต่อกันล่ะกันนะ

จากนั้น ผมขับไปก็คิดว่ายังไม่ได้ด้านหน้านี่นา พอเข้าซอยสวนพลูเลี้ยวซ้ายเข้า ห้าแยก ณ ระนอง ช่วงรอไฟแดงแยกท่าเรือ ผมเลยลงรถไปดูด้านหน้า .. โอ้แม่เจ้า มันเป็นเยอะกว่าที่คิดแล้วนี่นา ... ?!?!?!?

ซวยแล้ว อุตส่าห์คิดว่ามันไม่มีอะไร โดนเยอะเหมือนกัน แต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยแล้วล่ะ แบบนี้ เซ็งจริง ๆ

พอกลับถึงบ้าน ผมก็จัดการกับรอยข่วนออกให้เยอะที่สุดด้วยน้ำยาเอนกประสงค์ที่เคยใช้ ก็ทำให้ดูโอเคหน่อย ตามภาพที่เห็นข้างล่างครับ เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายก่อนลบรอยออกไป เพราะมัวแต่เจ็บใจที่ไม่น่าใจง่ายแบบนั้นเลย !!!



วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จะไปแอ่วเหนือ

หลังจากที่วางแปลนกันจะไปแอ่วเหนือ ตอนสิ้นปีมาหลายเดือนแล้ว วันที่เราจะไปเที่ยวก็มาถึง .. ผมลาพักร้อนอาทิตย์หนึ่ง เพราะผมมีวันหยุดเหลือเยอะเลยต้องใช้ให้คุ้มละครับ ถ้าลาแค่ 1-2 วันแล้วอยู่กรุงเทพเหมือนเดิมก็ไม่มีประโยชน์ จุดหมายของทริปนี้อยู่ที่ปาย แม่ฮ่องสอนครับ :)

ผมออกเดินทางกันตอน 9 โมงของวันที่ 5 ธค. ซึ่งตามปกติผมจะชอบออกตอนเช้าตรู่ คือประมาณตี 4-5 กว่าๆ เพื่อจะได้ออกจากรุงเทพแต่เช้า รถจะได้ไม่เยอะ แต่เพราะคราวนี้มีเด็ก ๆ ไปด้วย ก็เลยต้องรอให้เขาตื่นกันก่อน

Last test #7

Let me see how it works.. Hopefully, this will be the last test :)

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

น้ำมันแพง ต้องฉลาดเติม (ภาคพิสดาร)

ไม่ทราบว่าเหล่าผู้ชายเช่นคุณควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าน้ำมันกันยังไง แต่ที่ California ผู้ใช้รถก็จ่ายไม่เบา จนมีผู้รู้สอนเคล็ดลับการเติมน้ำมันเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถจ่ายเงินอย่างคุ้มค่า

ผู้รู้ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการน้ำมันกว่า 31 ปี เล่าว่าเขาทำงานที่คลังน้ำมันแห่งหนึ่งใน San Jose , CA ซึ่งมีคลังเก็บ 34 คลังขนาดบรรจุรวม 16,800,000 แกลลอน ณ ที่นั่นแต่ละวันจะจ่ายน้ำมันประมาณ 4 ล้านแกลลอน ตลอด 24 ชม.โดยวันหนึ่งจ่ายน้ำมันดีเซล อีกวันหนึ่งจ่ายน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันรถยนต์เกรดต่างๆ สลับกัน

เขาบอกว่า

1. จงเติมน้ำมันตอนเช้าขณะที่อุณหภูมิบนพื้นดินยังเย็นอยู่
อย่าลืมว่าปั๊มน้ำมันทุกแห่งมีถังน้ำมันฝั่งอยู่ใต้ดิน เมื่อพื้นดินยิ่งเย็น น้ำมันยิ่งควบแน่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำมันก็จะขยายตัวตาม ดังนั้น หากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น คุณจ่ายค่าน้ำมัน 1 แกลลอน แต่ได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธุรกิจค้าน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ามันเบนซิน ดีเซล น้ำมันสำหรับเครื่องบิน เอทานอล หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ อุณหภูมิและความถ่วงจำเพาะ มีบทบาทสำคัญ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศา หมายถึงเงินมหาศาลในธุรกิจนี้ แต่ปั๊มน้ำมันไม่มีการชดเชยอุณหภูมิให้ลูกค้า

2.ขณะเติมน้ำมัน อย่าให้เด็กปั๊มตั้งหัวฉีดอยู่ในตำแหน่งไหลเร็ว (ในอเมริกาเจ้าของรถต้องลงมือเติมเอง)
หากคุณสังเกต จะเห็นว่ากลไกเหนี่ยวมี 3 ระดับ คือ low, middle, และ high เมื่อตั้งในระดับไหลช้า จะเกิดไอระเหยของน้ำมันน้อยที่สุด หากตั้งในระดับไหลเร็ว น้ำมันบางส่วนจะกลายเป็นไอระเหย และถูกสูบย้อนกลับไปยังถังใ้ต้ดิน นั่นหมายถึงคุณจ่ายเงินมากกว่าที่ควร

3.เคล็ดลับอีกอย่างคือ ควรเติมน้ำมันเมื่อน้ำมันในรถเหลือครึ่งถัง
(แหล่งข้อมูลบางแห่งแนะนำว่า เติมน้ำมันแค่ครึ่งถังก็พอ จะได้ลดน้ำหนักบรรทุกและประหยัดน้ำมัน ทั้งนี้และทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองก็แล้วกัน?หมายเหตุผู้แปล) เหตุผลคือ น้ำมันบรรจุในถังยิ่งมาก เนื้อที่ว่างสำหรับไอระเหยก็ยิ่งน้อย เพราะน้ำมันระเหยเป็นไอเร็วกว่าที่คุณคาดคิด ในคลังเก็บน้ำมันจะมีอุปกรณ์ภายในถัง ทำหน้าที่เป็นเพดาน ลอยขึ้นลงตามระดับน้ำมัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างน้ำมันกับอากาศ ลดไอระเหยของน้ำมันให้น้อยที่สุด รถขนส่งน้ำมันเมื่อมาบรรทุกน้ำมัน จึงเติมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผิดกับที่ปั๊มน้ำมันซึ่งไม่มีการชดเชยอุณหภูมิ

4. ข้อเตือนใจอีกข้อหนึ่ง
ขณะที่คุณขับรถเข้าปั๊มถ้าเห็นรถบรรทุกกำลังถ่ายน้ำมันเข้าสู่ถังเก็บใต้ดิน จงอย่ารีบร้อนเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น เพราะตอน "ลงของ" สิ่งแปลกปลอม ซึ่งปรกติจะตกตะกอนอยู่ใต้ถัง ถูกปั่นป่วนจนลอยตัว หากคุณเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น อาจมีโอกาสดูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่รถคุณได้

Test post#3

Test post#2

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เช็คสุขภาพรถก่อนเดินทาง

วันนี้ ผมลาเช้าครึ่งวันเพราะจะเอารถเข้าเช็คสุขภาพก่อนเดินทางสำหรับอาทิตย์ที่สองของเดือนธันวา เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้เช็คแล้วแก้ได้ทัน :)

จริง ๆ ผมนัดไว้ตั้งแต่ต้นเดือน แต่ถ้าเข้าเร็วก็ทำให้เวลาขับทางไกลไม่ได้อารมณ์ ไม่นุ่ม เบรคไม่ดี ไม่ใช่ว่ามันสึกกร่อนไปหมดแล้วนะแต่เวลาเหยียบเบรคมักจะมีเสียงเหมือนอะไหล่มันสึก แม้จะไม่มากแต่ก็คิดว่าน่าจะต้องเปลี่ยนเร็ว ๆ นี้ ตอนนี้ก็ปาไป 3.4 หมื่นกว่าโลแล้ว เลยนัดไว้แต่เนิ่น ๆ แต่ดีที่ทางศูนย์โทรมาเช็คเมื่อวานเป็นการคอนเฟิร์มอีกทีหรือเตือนความจำประมาณนั้น

ถ้าถามว่าศูนย์ฮอนด้านครินทร์ดีไหม ?? โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าเขาก็บริการดีนะ เพราะผมออกรถที่นี่ เวลาเช็คระยะ เช็คอะไรต่าง ๆ ก่อนเดินทาง ผมก็เข้าใช้บริการที่นี่หมด ถ้าเรานัดจะเอารถเข้าศูนย์ แล้วทางศูนย์ก็จะโทรมาลอกล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อเตือนความจำกับลูกค้า แบบนี้ดีครับเพราะบางทีถ้านัดไว้นานอาจจะลืมก็มี :)

ตอนที่ผมเคลมประกันตอนสิ้นปีแรก ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่ลบรอยครูด รอยข่วนรอบคัน ส่วนใหญ่ก็บนสะเกิร์ต เขาก็จัดการติดต่อประกัน ออกเอกสารให้หมด ช่างก็จะโทรบอกเราเป็นระยะ ๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่บ้าง พอเสร็จมอบงานตรงเวลาดี แต่อาจจะเป็นเพราะงานของผมง่ายไปด้วยมั้งเลยไม่มีปัญหา ถ้าแบบชนแรง ๆ มาก็อาจจะมีปัญหาความล่าช้าบ้างล่ะ เอาเป็นว่าขึ้นอยู่อาการของรถเนอะ

เช้านี้ ประมาณ 7 โมงครึ่งผมก็ขับรถไปตามนัด เอารถเข้าจอดที่ศูนย์ตอนประมาณ 8 โมง พอผมวิ่งเข้าศูนย์ก็เห็นมีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งถือบัตรนัดมายืนรอที่ทางเข้าแล้ว ไม่ต้องไปวิ่งหาใครต่อใครให้วุ่นวายเพื่อบอกว่าผมเอารถเข้าศูนย์มาแล้วนะครับ จากนั้น ผมก็คุยกับพนักงานสาวคนนนั้นที่เคาน์เตอร์ จัดการเรื่องเอกสารแป๊บหนึ่งก็เสร็จ แล้วผมก็เดินตัวปลิวพร้อมกระดาษเอาไว้รับรถรับรถเดินออกจากศูนย์ไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน :P

ตอนบ่ายผมไม่ว่างจะมารับรถ ผมเลยบอกเขาว่าจะมารับรถวันพรุ่งนี้แทนล่ะกันครับ ...

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ได้ยินเสียงดังตุ๊บข้างหลัง

วันนี้ ผมกลับบ้านดึกเพราะมีประชุมทีม ซึ่งตามปกติผมก็จะมีประชุมแบบนี้ประมาณเดือนละ 1 - 2 ครั้งแล้วแต่โอกาศ

ผมออกจากที่ทำงานประมาณ 3 ทุ่มเศษ สังเกตว่ารถเยอะเหมือนกันแต่ก็พอได้ไม่ติด มีซิ่งบ้างบางช่วง ตอนแรกผมก็คิดว่าจะไปออกพระราม 4 ที่แยกพระโขนงแต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า ไปออกสุขุมวิท 42 เหมือนเดิมเฮอะ

พอผมเลี้ยวขวาเข้าสุขุมวิทเสร็จก็มีชะลอตัวนิดหน่อย จนถึงแยกอ่อนนุช พอเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอ่อนนุชเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องหยุดรถไปชั่วขณะ ดูแล้ววุ่นวายมาก นี่ยังไม่พ้นแยกปากทางเข้าเลยนะเนี่ย

ก่อนถึงทางข้ามถนนตรงหน้าคาร์ฟูร์ ก็มีอาการออกเสียว ๆ นิดเพราะมีแทกซี่จะหลบรถสองแถวที่จอดเลนขวาออกมาเข้าเลนใน แต่ผมไม่ยอมให้เข้ามาเพราะเขายังอยู่อีกไกล และมันกระชั้นชิดเกินไป ยังไงผมต้องพ้นก่อนที่เขาจะหลบรถคันข้างหน้าเขาให้ได้ก่อน

พอผมผ่านไปได้ไม่ไกลเลย แค่พอแซงเขาไปเท่านั้นแหละ ก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บข้างหลัง เอาล่ะสิ ... โดนเข้าแล้ว รถของเราเปล่าหว่า ?? ถ้าเป็นรถของเรามันน่าจะมีอาการสั่นสะเทือนมากกว่านี้นะ จอดมอไปข้างเห็นพี่แทกซี่ลงมายืนมองหน้ารถ วน 2-3 รอบ เออ. ไม่น่าจะเกี่ยวกับผมหรอกมั้ง กลับบ้านดีกว่า ...

ผมขับรถไปก็ใจจดใจจ่ออยู่ว่ามันโดนเราตรงไหนหรือป่าว ผอเลยแยกไฟแดงซอย 11 ผมก็แวะเข้าปั้มคาร์ลเท็ก ขอเช็คสุขภาพรถก่อนนะ

พอผมจอดรถเสร็จ ผมก็ลงมอง ๆ ข้างหลังแอบไปหยิบเอาหน้งสือพิมพ์จากเบาะหลังมาทิ้งไว้ข้างหน้า ประมาณแค่ไปหยิบหนังสือพิมพ์มาเก็บไว้ข้างหน้า คงไม่มีใครอยากอ่านหนังสืมพิมพ์หรอกมั้ง ถ้าขับรถกลางคืนแบบนั้น ใครจะคิดยังไงก็ตาม ผมแค่อยากลงไปดูรถของผมว่าโดนอะไรหรือเปล่า ก็เท่านั้นเอง

เมื่อสำรวจเรียบร้อยว่าไม่มีอะไรค่อยโล่งอกไป ผมก็ขับรถออกจากปั้มกลับบ้าน สบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะยังสงสัยว่าเขาโดนอะไรมั้ง :P

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฮอนด้า ฟรีดมาแล้ว

ช่วงนี้อาจจะเห็นว่าทาง Honda ปล่อยโฆษณาเปิดตัวของ Honda Freed ที่เพิ่งนำเข้ามาขายในบ้านเรา เพราะก่อนหน้านี้ ฮอนด้าขายรถรุ่นนี้เฉพาะในญี่ปุ่น และถ้าผมจำไม่ผิด ฮอนด้าได้นำรถรุ่นนี้มาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งนั่นก็น่าจะพอเดาได้ว่าทางฮอนด้าคงจะนำเข้าทำตลาดในบ้านเราแน่ ๆ

โดยทั่วไป ผมว่า Freed เป็นรุ่นที่น่าสนใจมาก มองดูรูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นรถที่มีภายในกว้างขวาง เหมาะสำหรับเป็นรถครอบครัวจริง ๆ เวลาเดินทางไปด้วยกันเยอะ ๆ แต่จัดอยู่ในรุ่นประหยัดน้ำมันเพราะใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ผมว่านี่เป็นจุดขายที่สำคัญของฮอนด้าฟรีด เพราะตอนนี้ราคาน้ำมันไม่มีท่าทีว่าจะลดลงได้อีกแล้ว มีแต่ขึ้นอย่างเดียว :)

ถ้ามองกลับไปที่ฮอนด้าแจ๊ซ ซึ่งอาจจะเรียกว่าศิษย์ผู้พี่หรือพี่ชายก็แล้วแต่จะเรียกขานกันไป แม้ว่าดูจากภายนอกแล้วจะรู้สึกว่าเป็นรถคันเล็กและเรียว ไม่เหมาะกับการใช้งาน แต่ผมว่าเขาออกแบบมาให้มีหลังคาสูงโปร่ง นั่งสบาย หัวเข่าไม่ชิดเบาะข้างหน้าเวลาที่อยู่นั่งข้างใน และสามารถพับเบาะสำหรับบรรทุกของที่ด้านหลังได้เยอะกว่าที่คิดอีก และมากกว่าาอีกหลาย ๆ ยี่ห้อที่เป็น hatchback ด้วยกันซะอีก

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ค่อยจะปลื้มกับราคามากเท่าไหรนัก ผมว่ามันฮอนด้าอาจจะเคาะราคาแพงไปสักนิดเมื่อเทียบกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กแบบนี้ แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่ารถมีการปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงหลาย ๆ จุดซึ่งทำให้รถดูดี และเหมาะกับการเป็นรถเอนกประสงค์โดยแท้จริงกว่าฮอนด้าแจ๊ซที่ผมขับอยู่ตอนนี้ ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าถ้ามองเผิน ๆ มันก็ฮอนด้าแจ๊ซดี ๆ นี่เอง อันนี้ก็แล้วแต่จะตีความกันเอาเอง

ราคาของฮอนด้า ฟรีด ณ วันนี้ (24-11-2009)
รุ่น S - 894,500 บาท
รุ่น E - 974,500 บาท
รุ่น E Sport - 1,014,500 บาท
รุ่น E Navi Sport - 1,074,500 บาท

ยังไง ๆ ผมว่าต้องคอยติดตามกันต่อไปว่า ฮอนด้าจะประสบความสำเร็จกับฮอนด้าฟรีดมากน้อยแค่ไหน และจะทำใด้เหมือนกับออนด้าแจ๊ซที่ได้รับความนิยมกันมาตลอดหรือไม่

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันนี้ขับรถสบายใจมาก

วันนี้ ผมจะตื่นสายสักหน่อย รถติดตรงปากซอยอ่อนนุชชนิดที่เรียกว่าเริ่มชะลอตั้งแต่หน้าคอนโด LPN เลยแหละกว่าจะถึงปากซอยจริงๆ ก็เสียเวลามากว่าเหมือนกันเพราะตามปกติจะใช้เวลานิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ยังดีที่ไม่เจออะไรที่น่าหมั่นใส้ ทำให้เสียอารมณ์ตอนขับรถ

อย่างไรก็ตาม ตอนที่ผมกำลังจะเข้าปั้ม ผมเห็ยนว่ามีรถตู้คันหนึ่งวิ่งออกมา ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเป็นทางเข้ามากกว่าทางออก เพราะถ้าขับรถมาจากแยกพระโขนงเข้าพระราม คุณต้องเจอทางเข้าตรงนี้ก่อนอยู่แล้ว ซึ่งมันห็นง่าย ๆ เอง แต่อาจจะเป็นเพราะความมักง่ายของคนขับรถตู้คันนั้น ที่พอเติมน้ำมันเสร็จ เขากลับรถในปั้มเพื่อจะไปออกตรงทางเข้าตรงนั้น ซึ่งอาจจะเป็นการลักไก่เพื่อตัดเข้าซอยที่จะทะลุสุขุมวิทอีกทีหนึ่งได้

ผมก็โอนะ อยากทำแบบนี้ก็ทำไป เดี๋ยวผมก็แซะเข้าไปเรื่อย ๆ เพราะยังไงเสียตอนนี้ รถของผมก็บังเขาอยู่ ทำให้มองว่ามีรถตามหลังผมมาหรือเปล่า และถ้าเขาจะตัดเข้าไปในซอย ผมว่าคงมีคนอื่นๆ ที่ขับรถตามหลังผมสวดเขาเยอะแน่ ๆ รถเยอะแต่เช้าแบบนี้ แต่เอาความมักง่ายของเองมาใช้เพื่อข้ามถนนเข้าไปในซอยอีกที

วันนี้ ผมเติมแก๊สโซฮออล์ 91 และผมก็เติมไป 800 บาทเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ได้มา 25.856 ลิตร ๆ ละ 30.94 บาท ราคาก็ยังไม่เปลี่ยนจากงวดที่แล้ว แต่ ปตท. ไม่มีอะไรแถมเหมือนของปั้มเอสโซ่อ่ะ เพราะไฟเตือนมาตั้งแต่เมื่อวาน เช้านี้นรถก็ติดแล้วด้วย ถ้ารอตอนเย็นไปเติมที่ปั้มเอสโซ่ พระราม 4 คงไม่ได้หรอก อาจจะต้องเข็นรถกันสักที่ .. :)

สรุปคือผมก็ยังอารมณ์ดีได้ตลอดเส้นทาง ถึงแม้รถจะติดหนักหนาสาหัสยังไง แต่ถ้าไม่โดนพวกที่ชอบแซะ เบียด หรือจี้ท้ายมานะ ผมจะรู้สึกดี ๆ แบบนี้ได้เสมอ :)

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฮอนด้ารับอานิสงส์อาฟตา เคาะราคา "ฟรีด" ส่งมอบปีใหม่

ฮอนด้าเตรียมส่งมินิ เอ็มพีวี "ฟรีด" นำเข้าจากอินโดนีเซียเจาะตลาดครอบครัวสมัยใหม่ หลังจากเผยโฉมในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2009

แหล่งข่าวจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เปิด เผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า หลังจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็กฮอนด้า ฟรีด (Freed) มาจัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2009 ที่ไบเทค บางนา เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้ฮอนด้าได้เตรียมการทำตลาดรถยนต์โมเดลใหม่ ล่าสุดฮอนด้าได้ทำแบบสำรวจความพึงพอใจในรูปลักษณ์และสมรรถนะเครื่องยนต์ของฮอนด้า รุ่นฟรีด ซึ่งผลสำรวจออกมาในระดับน่าพึงพอใจมาก ทำให้ ฮอนด้าตัดสินใจแนะนำรถ เพื่อเสริมไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มครอบครัวที่ต้องการรถขนาดเล็ก ประหยัดน้ำมันแต่มีความอเนกประสงค์ในการใช้งานวันทำงานและวันพักผ่อน

สำหรับฮอนด้า ฟรีด เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมขายที่ญี่ปุ่นเมื่อกลางปีที่แล้ว พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับแจ๊ซ และซิตี้ โดยปรับยืดระยะฐานล้อให้ตัวรถมีความกว้างขวางเพื่อรองรับกับเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง (หรือ 8 ที่นั่ง) ที่พับเก็บได้หลายรูปแบบ เครื่องยนต์เดียวกับที่วางใน แจ๊ซและซิตี้ ขนาด 1,500 ซีซี SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้า (สเปคไทยอย่างเป็นทางการยังไม่เปิดเผย คาดว่าจะขยับแรงม้าเป็น 120 แรงม้า)

สำหรับฮอนด้า ฟรีดที่จะจำหน่ายในไทย ผลิตขึ้นในโรงงานฮอนด้า อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นฐานในการส่งรถยนต์เอ็มพีวี และได้สิทธิประโยชน์เขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟตา ทั้งนี้ ฮอนด้ากำหนดราคาจำหน่ายฟรีดไว้เบื้องต้นที่ 8 แสนบาท ซึ่งไม่สูงนัก คาดว่าเป็นราคาที่รวมเอาส่วนลดของภาษีอาฟตา ซึ่งจะลดลงเหลือ 0% ในปี 2553 ดังนั้นกลยุทธ์ที่จะถูกนำมาใช้ คล้ายกับเมื่อครั้งที่รัฐบาลลดภาษีรถเชื้อเพลิง อี20 ที่ฮอนด้าประกาศราคาขายและเปิดจองในงานมหกรรมยานยนต์ปลายปี แต่จะส่งรถได้หลังวันที่ 1 ม.ค.2553 หลังภาษีมีผล

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มอไซต์ข่วนข้างกระจกขวา

ขณะที่ผมกำลังจอดรถรอที่แยกไฟแดง (น่าจะแยกท่าเรือหรือเปล่า ? ) ผมก็นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงกึกขึ้นที่ด้านขวาจของผม อ้าว มอไซต์ของวันรุ่นโดยมีสาวใส่ชุดนักเรียนซ้อนท้ายคันหนึ่งจอดอยู่ไกล้ เอาล่ะสิ กระจกซ้ายรถของผมโดนเข้าแล้วล่ะ จะเป็นไรหรือเปล่านะ !!

ผมมองดูแล้ว เขาไม่มีอาการได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แม้ช่องจะเล็กแต่แกก็ยังจะทะลุต่อไปให้ได้ พยายามเอียงรถเพื่อให้พ้นไปไว ๆ

จังหวะเดียวกันกับสัณญาณไฟเปลี่ยนเป็นเขียวพอดี ผมก็พยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอ คาดว่าน่าจะออกขวาไปทางพระราม 4 มากกว่าที่จะตรงไป 5 แยก ณ ระนอง

เชื่อเถอะว่า เวลาที่คุณมอไซต์ซิ่งตัดหน้าหรือ ชะแว๊บหน้า ชะแว๊บหลัง แล้วทำให้เกิดรอยขีดข่วนข้างรถคันโปรดของคนอื่น ผมอยากบอกว่าคุณกำลังทำให้เจ้าของรถทุกคันคนนั้นเสียความรู้สึกอย่างมาก ถ้าคุณคิดเพียงแค่ต้องการทะลุผ่านช่องโดยไม่สนใจว่าจะผ่านไม่ผ่านช่อง แล้วไปสะกิดรถของเขาเข้า .. สักวันคุณจะเสียใจกับการกระทำแบบนี้ของคุณ!!

หากคุณจำเป็นต้องทะลุผ่านช่อง แล้วไปสะกิดรถของคนอื่นให้เกิดความเสียหาย โปรดช่วยหยุดรถแสดงการขอโทษสักนิด แม้มันไม่ได้ทำให้รอยที่รถหายลบไปทันที แต่นั่นเป็นการทำให้รอยข่วนเคืองหายในใจลดระดับลงไปหรืออาจจะหายไปได้ดีทีเลย หรืออย่างก็เป็นการแสดงความจริง ๆ ใจที่มีต่อเพื่อนร่วมทางด้วยกันนะครับ



วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เมื่อต้องวัดใจที่อ่อนนุช 30

วันนี้ ผมออกจากออฟฟิซช้าไปนอดหนึ่ง เพราะแทนที่จะออกตอน 4.15 ตามที่คิดไว้เพราะมันเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน ยังไงเสียรถมันต้องติดแน่ ๆ ล่ะ เอาเข้าจริง ๆ ผมออกจากออฟฟิซประมาณ 4.45 ..

พอเลี้ยวออกจากออฟฟิซเท่านั้นแหละ ดูท่าทางว่าจะรอนานแล้ว แต่ผมก็ยังใจดี คิดว่าขอให้หลุดจากสาทรก่อนน่าจะดีขึ้น มันคงไม่ติดไปไกลนักหรอก พอเลยไฟแดงหน้าสถานทูตออสเตรเลียเท่านั้นแหละ รถขยับตัวช้ามาก ค่อยคลาน เลื่อนไปทีละคันสองคัน แบบนี้ เห็นท่าจะไม่ดีแน่ ๆ

ผมเปลี่ยนแผนดีกว่า เลยตีไฟออกขวา เพื่อกลับรถก่อนถึงแยกสาทร - พระราม 4 แต่กว่าจะกลับรถได้ก็เสียเวลานานมากเหมือกัน

หลังจากที่ผมกลับรถเข้าสาทรใต้แล้วผมก็ซิ่งออกตัวเพื่อจะเลี้ยวเข้าสวนพลู .. มันไม่ง่ายอย่างที่คิดซะแล้ว เพราะตอนนี้รถเยอะกว่าตอนที่ผมออกจากอออฟฟิซอีก เพราะรถเริ่มล้นมาจากแยกสาทรกับนราธิวาส .. ไม่มีทางเลือกแล้วครับ ต้องรอเพื่อเลี้ยวสวนพลูให้ได้

ผ่านไปสัก 10 นาทีผมก็พาน้องแจ๊ซเลี้ยวเข้าสวนพลูได้ ซึ่งผมเห็นว่าโล่งมาก แล้วมันติดอะไรนักหนาที่ปากซอยอ่ะ แล้วผมก็วิ่งไปเพื่อขึ้นทางด่วนตรงถนนจันทร์ ซึ่งก็มาเสียเวลาตรงก่อนขึ้นทางด่วนอยู่นิดหน่อย คือรถมันเยอะน่ะ แต่มันน่าจะดีกว่าทางราบ :)

พอผมจ่ายค่าผ่านทางเรียบร้อยแล้ว ผมก็พอจะเดา ๆ ได้ว่ารถเยอะแน่ ๆ เพราะรถคันที่วิ่งขึ้นไปก่อนเขาตีไฟออกซ้าย แทนที่จะตีไฟกระพริบขวาเพื่อเข้าทางด่วน เอาละสิ ทำยังไงต่อ ขึ้นมาแล้วนี่นา มันจะติดแค่ไหนก็ให้มันรู้ไป...

เมื่อผมวิ่งขึ้นมาถึงตรงทางแยกที่จะไปพระราม 9 กับบางนา ผมก็ถึงบางอ้อเพราะรถเยอะมาก เข้าซ้ายออกขวา กันวุ่นวายไปหมด นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้รถติด

จากนั้นผมก็ค่อยคลานบนทางด่วนไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงโค้งพระราม 4 ก็ดูรื่นไหลดี แล้วก็มาชะลออีกทีหลังจากโค้งพระราม 4 ไปท่าเรือ ช่วงนี้วิ่งกันช้ามาก แต่ก็ค่อย ๆ ไปล่ะนะ

จนลงด่วน 62 ผมก็เห็นรถเยอะจะลองเข้าซอยสุขุมวิท 93 เพื่อทะลุออกอ่อนนุช 30 อีกที ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยชอบซอยนี้สักเท่าไร เพราะมันเล็ก รถสองแถว รถตู้เยอะ บางทีรถก็จอกันแบบไม่เป็นระเบียบเลย อยากจอดก็จอด ทำให้การจราจรไม่ดีตลอดทาง

แต่วันนี้ ผมว่ามันจำเป็นต้องแล้วล่ะเพราะข้างหน้ารถคงติดน่าดู กลับรถเข้าซอยนี้ดีกว่า .. ไว้ค่อยพิจารณากันอีกครั้ง

ขณะที่วิ่งอยู่ในซอยก็ไม่มีอะไรหรอก เสียวมากเสียวน้อยก็มีตามจังหวะรถสวน

พอผมเลี้ยวซ้าย ช่วงหน้าโรงเรียนจินดาพงษ์ ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งตามกระพริบไฟใส่ และบีบแตรใส่อยู่ข้างหลัง

เอ้า .. ก็ถนนมันเล็ก มีหลุมบ่อท่อระบายน้ำเยอะจะให้ทำยังไง มันก็วิ่งช้าสิ จะรีบไปไหน หาจังหวะแซงให้ได้สิครับ
(ผมเชื่อว่าถ้าผมวิ่งเส้นนี้ทุกวัน มันต้องมีเหตุอะไรสักอย่างแน่ ๆ ถนนแคบ รถเยอะ ข้างถนนมีหลุมท่อระบายน้ำ และคนเดินข้างถนนก็เยอะ มันให้การจราจรไม่ดี )

พอผมมาถึงปากซอยอ่อนนุช 30 มันก็มืดมากแล้วจนต้องเปิดไฟหน้ากันแล้ว ตอนเย็นปากซอยนี้จะออกยากมาก แบบไม่ยอมให้รถเข้าออกเลยผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าทำไมเขาไม่ยอมให้รถเข้าออกซอยกันบ้าง ทั้งๆ ที่รถก็ติด ๆ และเขาก็ไม่ได้ไปไกลจากทางแยกนั่นเลย จอดติดขวางลำตรงกลางทางเข้าออกนั่นแหละ แบบต้องอาศัยวัดใจกันตลอด

เมื่อต้องวัดใจ ผมเลยต้องเอากับบเขามั่ง ผมออกมาแบบจังหวะเดียวมาอยู่กลางแยก เสร็จแล้วก็ชะลอดูรถที่วิ่งมาทางตรง เพราะผมต้องเลี้ยวขวา ผมก็เห็นปิคอัพคันหนึ่งวิ่งชะลอ ๆ เบียดกับคันข้าง ๆ ของเขาเองนั่นแหละ ประมาณว่า ถ้ามีรถออกมาจากซอย เขาคงจะชะแว๊บเข้าข้างหลังรถที่เขาเบียดมา แต่เผอิญว่าคันข้างของเขาเป็นรถสองแถว

พอรถสองแถวหยุดรับส่งคน แกเลยไปต่อไม่ได้ เพราะหน้ารถของผมมันพ้นออกไปแล้ว แบบเกินเลนกลางแล้ว แกเลยต้องหยุด เพราะไปต่อไม่ได้ .. นี่แหละผมการออกจากซอยของผม ผมจะไม่ออกไปแต่จอดค้าง ๆ ไว้รถคันที่วิ่งมาจอดก่อน ถ้าไม่จอดผมจะไม่ออกไปเด็ดขาด สุดท้ายแกก็บีบแตรใส่ผม ประมาณว่าเสียอารมณ์ทำนองนั้น .. :)

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เติมน้ำมันที่ปั้มพระราม 4

เย็นนี้ ผมแวะเข้าเติมน้ำมันที่ปั้มเอสโซ่ พระราม 4 เหมือนครั้งก่อน ๆ ซึ่งก็ปกติหลังเลิกงานแต่ดึกสักหน่อย คือประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง

เวลาผมเข้าปั้มนี้ทีไร ผมว่ามันรอนานกว่าที่อื่นอีกนะ มันไม่ใช่แค่ว่า รถเข้าปั้มเยอะแล้วรอคิวนาน แต่มันชอบมีอะไรที่มากกว่านั้น

ครั้งที่แล้ว ผมรอนานเพราะเจ้าของรถ เขางง สับสนเองว่าจะเติมน้ำมันตัวไหนดี ผมเห็นเด้กปั้มออกอาการเบื่อนิดว่าโซฮอล์ 91 ก้ไม่เอา โซฮออล์ 95 ไม่ไม่ใช่ สุดท้ายแกเติมโซฮออล์ 91 มั้ง แต่จะลลงตัวก็นาน ผมว่าไม่ต่ำกว่า 10 นาทีมั้ง แค่เลือกว่าจะเติมน้ำมันตัวไหนให้กับรถเท่านั้นเอง

คราวนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเขามีปัญหาที่ระบบเอง คนไม่พอกันแน่ หรือมอเตอร์ไซต์จอดรอเติมน้ำมันแล้วชอบแบบขวางทางเข้าออกที่หัวจ่าย เพราะรถคันที่เข้าเติมก่อนผมก็น่าจะรอนาน เหมือกัน เพราะไม่มีคนมาถามว่าจะเติมอะไร เท่าไร คนขับก็ได้แต่นั่งรอในรถ รอให้พนักงานเข้ามาถาม มาบริการ.. ถ้าบ้านเราทำแบบเมืองนอก ก็น่าจะดีแต่ว่ากลัวจังว่าจะมีปัญหามากกว่าเดิม แบบเติมน้ำมันแล้วไม่จ่ายตังค์:P -ขนาดมีคนช่วยเติมให้ ยังมีข่าวออกมาให้ดูบ่อยว่าได้น้ำมันแล้วขับรถหนีไปเลย ไม่ยอมจ่ายตังค์ .. คิดได้ไงนะ ..

เมื่อมาถึงคิวของผม ผมก็เลื่อนเข้าจอดรอเปิดถัง บอกไปว่าเติมโซฮอล์ 91 จำนวน 800 บาท ได้มา 26.899 ลิตร เพราะลิตรละ 29.74 บาท ..


รอแป๊บหนึ่งก็ เสร็จ .. ได้น้ำมันใส่ถังเป็นที่เรียบร้อย

จากนั้น เด็กปั้มก็บอกให้ปผมเลื่อนรถไปรอข้างหน้านิดหนึ่ง เพราะผมจ่ายด้วยบัตร .. ผ่านไปไม่นาน.. เด็กปั้มก็เดินกลับมาให้ผมเซ็นต์ที่จ่ายด้วยบัตร แล้วผมก็โดนทิ้งอยู่ตรงนั้น ..

ป้ายหน้ารถผมก็ยังไม่เอาออก แล้วผมจะขับออกไปได้ยังไง .. ผมเลยเรียกเด็กปั้มมาแล้วแกก็ถามยังไม่ได้น้ำเหรอ ผมเลยไปว่าป้ายหน้ารถยังไม่เอาออก

แล้วเขาก็ทำตัวเหมือนว่ายุ่งกับรถที่เติมน้ำมันอยู่ แล้วเขาก็เดินมาเอาป้ายรถผมออก จากนั้นก็หยิบเอาน้ำมาให้ผม 2 ขวด แล้วเขาก็เดินจากไป

ระหว่างที่ผมรอ ๆ ผมก็คิดว่าจะหาอะไรกินดีนะ ดึกแล้ว ร้านหน้าปากซอย คงไม่อยู่กันแล้ว งั้นแวะ McDonald ลองดูดีกว่า

เออ.. ผมไม่ยักกะรู้ว่าจอดซื้อแมคโดนัลด์ที่ปั้มพระราม 4 ต้องรับบัตรจอดรด้วย แล้วก็ต้องเอาไปแสตมป์ที่เคาเตอร์ตอนซื้อแมคด้วย เหมือนเวอร์จัง แต่ไม่เป็นไร จะได้รู้ไว้ :)

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เกือบเฉี่ยวกับมอไซต์

เหตุเกิดที่ตรงแยกไฟแดงซอยอ่อนนุช 10-12 ในขณะที่รถซ้ายวิ่งไปได้เรื่อย ๆ แต่รถเลนขวาติดไฟจะเลี้ยวขวาเข้าซอยไปทางสวนหลวง พอผมเห็นว่ารถแทกซี่คันหนึ่งออกตัวช้า ผมเลยกะจะชะแว๊บเข้าซ้ายเพื่อจะได้หลบรถติด พอช่วงจังหวะที่ผมจะออกซ้ายก็มีรถมอไซต์ชะแว๊บเข้ามาด้วย โอ๊ะ เกือบชน!!

เมื่อกี้ ผมก็มองแล้วนะว่าไม่มีมอไซตตามมา เพราะมันโล่งแล้ว และเป็นช่วงจังหวะว่างที่รถแทกซี่เขาออกตัวช้า ทำให้มีช่องว่างที่พอจะชะแว๊บได้

ผมว่าน่าจะเป็นที่เสียวกับมอไซต์มากที่สุดตั้งแต่ขับรถ หรือจะเป็นเพราะนิสัยของคนขับมอไซต์ที่ต้องขับรถมาชะลอมองหน้าคู่กรณีเวลาที่เขาโดนทำให้หวาดเสียว เพราะเวลาเขาปาดหน้ารถแล้วเขาจะไม่สนใจเลย หรือไม่ก็ขับหนีไปเฉยๆ เลยก็มี

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าผมไปตัดหน้าเขาจริง ๆ ก็ขอโทษล่ะกัน เพราะผมก็มองไม่เห็นเลยจริงๆ ว่ามีรถมอไซต์ซิ่งตามมา ผมเห็นแต่รถแทกซี่ที่เขาออกตัวช้าตรงเลนซ้ายสุดเท่านั้น ผมเลยต้องซิ่งออกตัวเพื่อทิ้งช่วงแกให้มากที่สุด และผมก็มั่นใจแล้วนะว่าไม่มีรถมอไซต์ขับตามสักคัน ..

เอาเป็นว่า โชคดีครับ แต่อย่ามาเจอกันอีกเลย :)

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ก่อนถึงตลาดคลองเตย

พอเลยโค้งฮอนด้ามาได้นิดหนึ่ง ผมก็วิ่งอยู่เลนขวาในสุด เผอิญมีรถสีเทาเข้มอีกคันอยู่เลนกลางอยากจะเปลี่ยนเลนเข้ามา ผมเห็นว่าผมก็อยู่กระชั้นชิดกับรถคันข้างหน้าแล้ว แต่เขาก็ยังอยากเข้ามา ผมเลยเร่งขึ้นมาก่อนเพื่อไม่ให้เข้ามาและบีบแตรใส่ครั้งหนึ่ง ผมก็ได้คิดอะไรมากหรอกเพราะมันก็เป็นปกติดีที่รถเลนกลางจะเบียดเข้าเลนขวาเพราะเลนกลางติดคนขนของบ้าง รถจอดบ้าง ช่วงก่อนถึงแยกตลาดคลองเตยเสมอ

พอผมผ่านเขาไปแล้ว เขาก็เข้ามาตามหลังผมนั่นแหละเรื่อย ๆ มาจนถึงแยกไฟแดง ผมก็กระพริบไฟจะเข้าเลนกลาง เพราะรถเลนในจะรอเลี้ยวขวา พอผมกำลังจะหักรถออกไปก็เห็นพี่คนข้างหลังนั่นแหละพุ่งออกมาเบียดไว้ ผมก็ลองเร่งเครื่องแกก็เร่งตาม แต่ไม่ยอมให้ผมออกไปได้ ประมาณว่ากันที่ไว้เฉย ๆ หรือว่าแกจะติดแทกซี่คันข้างหน้า ไม่หรอกมั้ง แค่อยากกวนเฉย ๆ เอออ.. เอาละสิ ดูสิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ ..

ผมคิดว่าถ้าเขายังขืนเล่นยึกยักตรงนั้นนานนะ ผมจะชนให้มันรู้กันไปเลย เสียเวลาช่างมัน อยากรู้เหมือนกันว่าจะแน่สักแค่ไหน เพราะมันอยู่ตรงแยกและป้อมตำรวจก็อยู่อีกไม่กี่เมตร ตรงหลางแยก ..และอยากรู้เหมือนกันแหละว่าประกันชั้น 1 จะทำอย่างไร

พอเลยแยกนั้นแกก็ขับไปเลนอื่นอีกไม่มากวนอีกหรอก และแกก็เข้าเลนในขับผ่านผมไปช่วงหน้าบ่อนไก่ เพราะผมเตรียมจะออกซ้ายเข้าสาทรส่วนพี่แกคงขึ้นสะพานตรงไปแหละ

ผมก็พอจำทะเบียนได้คร่าว ๆ ว่า ฐฏ หรือ ช 89xx นี่แหละมั้งพอดีมองไม่ทัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่เจอแกอีกเลย เอาเป็นว่า อย่ามาให้เจอแบบนี้อีกเลย เสียอารมณ์ เสียสุขภาพจิต เพราะแค่ขับรถก็เครียดพอแล้วยังมาคนแบบนี้อีก ภาวนาว่าอย่าเจอกันอีกเลย สาธุ!!!

พอผมก็ขึ้นตึกจอดรถเรียบร้อยและก็เขียนบันทึกประจำวัน :)

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

ผมโดนบังคับให้ขึ้นทางด่วน

พอดีเมื่อเย็นวาน ผมไปงานเลี้ยงของบริษัทที่ Central World ตอนเย็น ๆ กว่าจะออกก็ประมาณ 3 ทุ่ม พอผมออกมาผมก็กะว่าจะออกตรงถนนพระราม 1 เพื่อต่อไปยังสุขุมวิท เพราะจะได้ถึงอ่อนนุชเร็วหน่อย ยังไงก็เป็นทางตรงตลอดเหมือนขาเข้ามา เมื่อตอนเช้า

ผมก็สังเกตตลอดเส้นทางนะว่าตั้งแต่ผมออกจากห้างมา ทำไมเขาปล่อยรถขาออกวิ่งเลนเดียวตลอด แล้วรถจะออกพอไหม ยิ่งตอนกลางคืนคนมาเที่ยวแถบในเมืองเยอะด้วย แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าน่าจะกันให้รถวิ่งออกเมืองน้อยเท่านั้นเอง รถที่วิ่ง ๆ ตามกันมาก็วิ่งตามกันจริง ๆ ไม่มีคันไหนแซงกันสักที

แต่แล้วผมก็ต้องอึ้ง .. เจอป้ายห้ามตรง แต่บังคับให้เลี้ยวซ้ายเท่านั้น โอ.. โน่ อีกสักครั้ง ผมโดนบังคับให้ขึ้นทางด่วน นั่นคือต้องเสียค่าผ่านทาง 45 บาท จากเพลินจิตเพื่อที่จะไปอ่อนนุช ทำไงดีล่ะ ไม่มีทางเลือกแล้วนิ ต้องขึ้นทางด่วนสิครับ กลับลำไม่ได้แล้ว !!!

อ้าว ขึ้นทางก็ขึ้น เมื่อไม่มีทางเลือก .. คิดว่ารถคงไม่ติดเพราะมัน 3 ทุ่มกว่า ๆ แล้ว .. ผิดครับ แค่พ้นจากตู้จ่ายค่าผ่านทางเท่านั้นแหละ ผมมองไปข้างหน้า รถเยอะมาก ลองมองข้างหลัง .. เอาล่ะสิ เข้าเลนผิดแล้วยังต้องเจอรถติดอีก ฮือออ .. อยากจะโดดลงจากทางด่วน มันเป็นช่วงเวลาที่คิดผิดจริง ๆ เพราะความเคยชินแท้ ๆ

พอวิ่งขึ้นทางด่วนก็ต้องค่อย ๆ ขยับตาม ๆ กันไปเพราะรถมันติด วันศุกร์เป็นแบบนนี้ทีไรตายแน่ ๆ รถอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด

พอถึงพระราม 9 ตอนแรกก็คิดว่าจะลงแต่ท่าทางรถมันก็น่าจะเยอะ ผมเลยต้องยอมจ่ายค่าผ่านทางอีก 20 บาทเพื่อไปลงที่ศรีนครินทร์ จะได้ง่ายหน่อยหนึ่ง เพราะคุ้นเคยดี

สรุปก็คือ อย่าไว้ใจทาง (อย่าวางใจคน) แม้ทางจะตรง ก็ใช่ว่าจะสามารถนำพาเราไปสู่จดหมายปลายได้ เพราะโดนเปลี่ยนการจราจร รถต้องเดินทางตามจราจรที่ตำรวจวางไว้ !!

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องวุ่น ๆ ที่ปั้มเอสโซ่

พอดีว่าผมจะต้องเติมน้ำมัน เพราะมันขึ้นเตือนแล้วและพรุ่งนี้ผมจะต้องออกแต่เช้าไปทำธุระที่ Central World ตั้งแต่เช้าจนเย็น ผมเลยจะเติมน้ำมันให้เสร็จซะก่อน

พอวิ่งเข้าปั้มเอสโซ่ที่พระราม 4 ผมก็เข้าผิดตู้เพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าตรงไหนที่มันมีหัวจ่ายของโซฮอล์ 91 เลยขับเลยตู้จ่ายที่สองเข้าไปหน้าแมคโดนัลด์แล้ววกกลับมาที่ฝั่งหน้าโลตัสเพื่ออ้อมเข้ามาที่ตู้แรก ประมาณว่าวิ่งรถเป็นเลข 8 ไปในปั้มเล่นเลย (ลองเขียนเลข 8 โดยลากเส้นจากล่างซ้ายขึ้นบนขวาดูดิ) กว่าจะเข้าตู้จ่ายได้ก็เสียเวลา กินที่รถที่จะเข้าปั้ม เข้าโลตัสเยอะแยะไปหมด มันจะเป็นนี่หว่า เด็กปั้มก็ไม่มาโบกรถให้เลย

ผมต้องยอมหน้าด้านหน้าทน เพื่อเข้าให้ได้ ขวางก็ต้องยอม .. รู้ว่าไม่ดีแต่มันต้องเป็นแบบนี้แหละ :P

พอผมเข้าจอดที่หัวจ่ายได้ ก็บอกให้เด็กปั้มเติมโซฮอล์ 91 จำนวน 800 บาท เพราะคิดว่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิต ขืนเติมแค่ 500 แล้วจ่ายด้วยบัตร มันก็ยังไงอยู่อ่ะ

และผมก็ได้น้ำเปล่ามา 1 หนึ่งเป็นของแถม ซึ่งเมื่อก่อนเอสโซ่จะแถม 2 ขวดใหญ่ :)

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

วันนี้เติมน้ำมัน 500 บาท

วันนี้ ผมออกสายหน่อย เพราะอะไรไม่ทราบเหมือนกัน ตื่นมาก็ตอนประมาณตี 5 จากนั้นก็นอนเล่น iPhone ตัวใหม่จนลืมตัว พอตี 5.45 ก็อาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน

วันนี้ก็มีเรื่องลุ้นอีกเหมือนเดิม คือน้ำมันจะหมดถังแล้ว มันขึ้นไฟเตือนมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว แต่ไม่อยากเติมตอนเย็น

พอเติมน้ำมันเสร็จ ผมก็เลียบเลนซ้ายเพื่อจะเข้าไปทางสุนทรโกษาเหมือนเดิม ด้วยเหตุผลเดิม ๆ นั่นแหละ พอสายแล้ว รถเส้นพระราม 4 การจราจรจะไม่ค่อยดีนัก

วันนี้ ผมดูแล้วรถก็ไม่เยอะมาก แต่ว่ามีเรื่องเสียวอีกรอบตรงหน้าโรงเรียนก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าพระราม 4 ผมก็วิ่งเลนขวามาธรรมดาแหละ แต่สังเกตว่ามันมีรถอยู่เลนกลางไปช้า ๆ จะเข้าเลยก็ไม่ดี เพราะเดี๋ยวไปติดหน้ารถเมล์ใต้สะพานลอย ผมขอขับเลยไปหน่อย แล้วพอจะฉีกเข้าซ้าย โอ.. โน่ มัรถแทกซี่อีกคันจะเข้าขวา หักหลบทันทีครับ ไม่ต้องรออะไรหรอก ดีที่ออกตัวไม่แรงมาก เลยพอมีเวลาผ่อนแรงและชะลอได้

อัพเดทราคาน้ำมันที่เติมวันนี้ครับ ..

วันที่ 9/17/2009 6:41 AM (ตามใบเสร็จ)
ชนิดน้ำมัน Gasohol 91
ราคาลิตรละ 30.34 บาท
จำนวน 16.50 ลิตร
จำนวน 500 บาท

แปลกใจมั้ยที่คราวนี้ ผมเติมไปแค่ 500 บาทเพราะมีตังค์ติดกระเป๋าเท่านี้จริง ๆ อีกอย่างก็อยากลองเปลี่ยนดูเท่านั้นเอง จะได้รู้ว่าถ้าเติมแค่นี้จะอยู่ได้กี่วัน แต่ผมคิดว่าน่าจะอยู่ได้สักอาทิตย์กว่า ๆ เร็วช้าก็ไม่เป็นไร และวีคเอนนี้ผมคงไม่ได้ออกไปไหนหรอก

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

จากนี้ไปต้องหมั่นเปิดกระโปรงรถแล้ว

วันนี้ผมไปเยี่ยมพี่ชายที่ห้วยขวาง พอตอนขากลับ ผมไปแวะอาจารย์สอนขับรถที่อยู่แถวพระราม 9 ออกไปทางบิ๊ก ซี รามคำแหง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเรียกเส้นนี้ว่าอะไร เผอิญว่าอาจารย์ที่ไปหา เขาเป็นช่าวรถรถ เขาเลยเอาน้ำมันเครื่องมาราดตรงที่มันเป็นรอยผุกร่อนใต้แบตเตอรรี่

แกก็อธิบายประมาณว่าต้องเอาน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันจักรอาบตรงที่จะเป็นสนิมไว้ เพื่อไม่ให้สนิมมันก่อตัวได้ง่ายขึ้น นอกนั้นก็มีอีกเยอะแยะ แต่ผมก็รับมาได้ไม่หมดหรอก จำได้บ้าง ไม่ได้บ้างเพราะผมค่อยไม่ใความรู้เรื่องรถ เรื่องเครื่องยนต์รถเลยสักนิด ประมาณว่ามีหน้าที่ขับก็ขับไปวัน ๆ เท่านั้นเอง :P ถ้าถึงวันที่จะต้องเอารถเข้าศูนย์ ผมก็จะโทรไปหาศูนย์บอกจะรถเข้าเช็คระยะ ก็เท่านั้น ใจจริงแล้ว ผมก็อยากศึกษารายละเอียดเรื่องรถราบ้างแต่มันก็ทำใจไม่ได้สักที จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถของเราบ้าง ถ้าจะต้องเข้าซ่อม ต้องซ่อมตรงไหน เพราะไม่งั้นอาจจะโดนช่างหลอกเอาได้ เอออ.. รู้ไว้ใช่ว่าครับ

จากนี้ไป ผมคงต้องหมั่นเปิดกระโปรงหน้ารถดูว่าอาการจะดีขึ้นหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องเสียตังค์พ่นสีกันใหม่แหละ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เย็นนี้ฝนตกหนักมากเลย

เย็นนี้ ผมออกจากที่ทำานประมาณ 6.45 น ก่อนลงจากออฟฟิซ ผมก็ชะเง้อมองทางหน้าต่างไปดูที่ถนนสาทร ก็รู้แล้วว่ารถติด แต่มันต้องลงแล้ว ไม่อยากรอ เพราะยังก็ไม่นอนที่ออฟฟิซแน่ ๆ

พอผมลงมาก็ติดจริง ๆ ผมเลยขอแซะออกเพื่อจะกลับรถเข้าสวนพลูขึ้นทางด่วน น่าจะดีกว่า นี้ แต่กว่าจะออกจากออฟฟิซก้ไม่เวลหลายนาทีอยู่ อาศัยเบียดมาเรื่อย ๆ ไม่ใให้ก็ไม่ได้ไปอยู่ดี เพราะข้างหน้ามันติด ตำรวจก็เปิดไฟเขียวแค่ 2-3 คันเท่านั้นเอง เพราะถ้าเยอะกว่านั้น รถก็เข้าพระราม 4 ไม่ได้เหมือนกัน !!

หลังจากที่ผมกลับรถได้ ก็ชะแว๊บเข้าสวนพลู ก็มีบ้างที่ชะลอ เสียเวลาตอนที่มีคนข้ามถนน เดินแบบอยากลงมาก็ลง รถเลยต้องหยุดอย่างเดียว พอพ้นจากตลาดมาก็วิ่งฉิวเลย ผมก็นึกว่ามันจะติดตลอดซอยซะอีก

ผมมาเสียเวลาอีกช่วงก็ตอนรอขึ้นทางด่วน ซึ่งตอนแรกก็กะจะเปลี่ยนใจวิ่งเข้าสุนทรโกษา แต่ไม่เอาดีกว่า รถคงเยอะอยู่แล้ว แต่ทำไมเขาเปิดช่องเก็บตังค์แค่ 3 ช่อง ผมรถวิ่งมากันเป็นพรวนเพื่อรอขึ้นทางด่วนอ่ะ เอออ.. แล้วเจ้าหน้าที่หายไปไหนกันหมด ไม่มาทำงาน เปิดเยอะๆ ไว้สิ วันนี้ผนตก คนต้องหนีขึ้นทางด่วนอยู่แล้ว รู้มั้ยครับ ?!?!

ตั้งแต่ขับรถมานะ ผมคิดว่าคงเป็นวันนี้แหละที่เจอฝนตกหนักที่สุด โดยเฉพาะตอนที่จ่ายค่าผ่านทางขึ้นทางด่วนแล้ว ขนาดผมใช้ที่ปัดน้ำฝนเบอร์ 3 (น่าจะสุดท้ายแล้วมั้ง ? ) ยังเอาไม่อยู่ แต่ว่าสงสารที่ปัดน้ำฝนมันปัดไปมายังไม่รู้ ปัดแบบแปลก ๆ อีกอย่างกลัวว่ามันจะพังด้วย ดูเหมือนไม่ค่อยรื่นดีเหมือนเบอร์ต่ำ ๆ ลงมาซะอีก ก็เลยปรับมาที่เบอร์ 2 แทน ค่อยรื่นหูรื่นตาหน่อย รถมันเยอะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซิ่งอะไรหรอก

ผมอยากจะฝากบอกคนที่ขับรถแล้วชอบเปิดไฟฉุกเฉินขณะที่ฝนตกหนักว่าอย่าทำอีกเลย มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก แต่มันจะพลอยทำให้คุณโดนชนได้ง่ายขึ้นเดิมซะอีก ลองคิดดูว่าเวลาคุณจะเปลี่ยนเลนหรือคนอื่นเขาเปลี่ยนเลนแล้วมาเจอรถของคุณที่เปิดไฟกระพริบทั้งสอง บอกเลยว่า เขางงแน่ ๆ ครับ "จะเอายังไงดี ตกลงว่ารถคันนี้จะออกซ้ายออกขวากันแน่ หรือแค่วิ่งฉุกเฉินตรงกลางเฉย ๆ" ช่วงชะลอคิดนี่แหละ ถ้ามีรถซิ่งตาม ๆ กันมาจะ สะดุดกันทั้งยวง

เอาง่าย ๆ สมมติว่าคันที่ตามหลังคุณมาอยากจะแซงคุณมั่ง แค่นี้เขาก็เดาไม่ออกแล้วว่าจะแซงซ้ายหรือแซงขวาดี ยิ่งถ้าเกิดว่าคุณอยากแซงคันที่อยู่ข้างหน้าของคุณพร้อมคันที่อยู่ข้างหลังคุณอีกที รับรองงานเข้าแน่ ๆ ครับ เพราะคุณใช้ไฟเลี้ยวไปแล้วทั้งสองดวง คุณจะบอกว่า คุณตีไฟเลี้ยวนะไม่ได้ เพราะไฟของกระพริบทั้งสองดวงพร้อมกัน ใครจะรู้ว่าคุณจะออกซ้ายหรือขวาล่ะ

ถ้าคุณอยู่ในสถานะการณ์ฉุกเฉินจริง ๆ ผมแนะนำให้จอดรถไปเลยแล้วโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ก็วิ่งช้าในเลนซ้ายสุด อย่าวิ่ง/ซิ่งในช่องขวาสุดหรือเลนกลางด้วยไฟฉุกเฉิน ยกเว้นวิ่งตามรถตำรวนะ :) เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา บอกตรง ๆ ว่า ไม่คุ้มหรอกครับ แค่เปิดไฟธรรมดาก็ช่ วยแล้ว

เอาล่ะ มาต่อเรื่องของผมต่อดีกว่า .. ตอนแรกว่าจะลงที่อาจณรงค์แล้วค่อยเข้ารถไฟสายเก่า แต่คงไม่สะดวกแน่ เพราะช่วงเวลานี้ รถคงไม่ต่างแถมถนนไม่ดีอีกต่างหาก คงไม่กล้าเข้าเสี่ยงแบบนั้น ไปลงสุขุมวิท 62 น่าจะดีกว่ามั้ย ??

ผมตัดสินใจไปลงสุขุมวิท 62 แต่พอลงไปก็สังเกตว่าน้ำมันไหลตามถนนเยอะมาก พอจะออกปากซอย เจอเลยครับ น้ำนี้ล้นขอบถนน แถมมีรถเมล์เพิ่งจะเปลี่ยนเลนเข้าไปอยู่ตรงกลางอีก จะเอาไงดีหว่า จะลองเข้าไปเลยมั้ย หรือว่าจะรอให้รถเมลไปก่อนดี คิดไปคิดมา เอาว่ะ ลองดูสักตั้ง ถนนมันเป็นเส้นตรงนี่นา ตรงนี้เราววิ่งได้ ข้างหน้าก็ต้องผ่านได้เหมือนกัน ...

และแล้ว ผมก็ผ่านมาได้อย่างฉิวเฉียด ไม่มีอาการสะดุดอะไร ไม่เบียดขอบเลยสักนิด ไม่เบียดรถเมล์ เออ.. ดีแล้วล่ะ อย่าให้เจอแบบนี้อีกล่ะกัน

หลังจากนั้น ก็มาเสียเวลาอีกแล้วตอนจะกลับรถได้สะพานพระโขนง รู้ทั้งรู้ว่าตรงมันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ทำไมเขาไม่หาทางแก้กันสักทีนะ ผมเห็นจอดรอกลับรถกันแบบซ้อนสองซ้อนสาม ล้ำเส้นไปถึงกลางถนนโน้น เลยทำให้รถทางตรงเสียช่องจราจรไปหนึ่งช่อง คนที่อยู่ในช่องกลับรถก็จะพยายามเบียดคันข้างหน้าไว้ให้ชิดที่สุด ประมาณว่าอย่าเข้ามานะ ๆ ฉันไม่ไห้หรอก ผมเห็นแบบนี้ทุกวัน วันไหนที่ผมกลับบ้านเร็วผมจะเลี่ยงไปออกสุขุมวิท 42 แทน แล้ววิ่งตรงมาเรื่อย ๆ ไม่อยากมาแย่งที่กลับรถตรงนี้จริง ๆ มันกดดัน มันเสียวกว่าวิ่งหรือซิ่งทางตรงซะอีก

สรุปผมถึงบ้านเกือบ 3 ทุ่ม ทางเข้าบ้าน เจอน้ำท่วมออกมาอีก ตอนแรกนึกว่าไฟแถวนั้นดับซะอีก เห็นมืด ๆ เงียบ ๆ ยังไง่ก็ไม่รู้ ..

ก่อนดับเครื่อง ผมก็เลยเร่งเครื่อง 2-3 ทีและเยียบเบรคย้ำ ๆ ไปด้วย เคยอ่านเจอเวลาขับรถลุยน้ำมาให้ทำแบบนี้ เพื่อไล่น้ำไล่ความชื้นออกจากเครื่องให้พอเป็นพิธีว่างั้นเถอะ .. :)

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

เช้านี้เติมน้ำมันอีกแล้ว

เช้านี้ ผมจำเป็นเติมน้ำมันอีกแล้ว เมื่อวานก็ลุ้น ๆ อยู่ว่าจะทำธุระต่างๆ เสร็จทันหรือปล่าว เพราะผมไม่อยากเติมน้ำมันตอนกลางวันแดดร้อน ๆ ผมเคยอ่านเจอบทความที่เขาเขียนบอกว่า ไม่ควรเติมน้ำมันตอนกลางวันเพราะจทำให้ได้น้ำมันน้อยกว่าปกติ เพราะน้ำมันจะระเหยระหว่างเติมไปเล็กน้อย ซึ่งถ้าถามว่าจำเป็นไหม ก็ไม่จำเป็นว่า ต้องเป๊ะ ๆ 100% หรอกแต่เอาแค่ดู ๆ ไว้หน่อยก็ดี โดยหลักการอาจจะมีส่วนอยู่

วันนี้ ผมก็ยังเติม Gasohol 91 เหมือนเดิมครับ
ราคา 30.74 บาท/ลิตร
จำนวน 26.025 ลิตร
จำนวน 800 บาท

พอเติมน้ำมันเสร็จ ผมก็เตรียมออกซ้ายไปทางสุนทรโกษา เพราะไม่อยากติดที่แยกคลองเตยนาน และถ้าวัดระยะทางก็ไม่ต่างกันมากเท่าไรครับ :)

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ทำไมต้องล้างรถตอนหน้าฝน

ผมไม่ได้ล้างรถมา 2-3 เดือนแล้วมั้ง และก็คิดว่าเมื่อหมดหน้าฝนแล้วค่อยเอารถไปล้าง แต่ดูไป ดูมา สภาพมันเลอะเทอะมาก ฝุ่นข้างในปลิวว่อนกันสนุกเลย เอาเป็นว่ายังไงก็ขอทำความสะอาด ดูดฝุ่นข้างในบ้างดีกว่า ปล่อยไว้มันก็เลอะเหมือนเดิม และพลอยทำให้สีรถเปลี่ยนไปด้วย

วันนี้ สาย ๆ หน่อย ผมก็ขับรถไปอ่อนนุช วิ่งขึ้นไปจอดที่ชั้นบนในคาร์ฟูร์ ผมไม่ชอบจอดชั้นล่างหรอก มันจะดูอึมครึมยังไงไม่รู้สิ ไม่ค่อยชอบเท่าไร ถ้าเป็นก่อนเที่ยงขึ้นข้างบนสะดวกสุด ๆ แล้ว เลือกที่จอดได้เลย อยากจะบอกว่าสะดวกกว่าไปหาที่จอดข้างล่างตั้งเยอะ ผมได้ที่จอดตรงทางซ้ายตลอด สะดวกทางเข้าออก มองเห็นชัดเจนดีและคนผ่านไปมาตลอด

จากนั้น ผมก็เดินไปร้านตัดผมตรงปากซอยอ่อนนุช แถวนี้จะมีอยู่สองร้าน ผมเคยใช้บริการร้านแรกไกล้แยกแล้วครั้งหนึ่งมั้ง แต่ไม่ประทับใจเหมือนร้านที่สองที่อยู่ถัดเข้ามา ผมว่าเขาตัดดีกว่า แต่วันนี้ที่มานะ โอ.. คิวยาวมาก รอเกือบชั่วโมงเลยมั้ง ทุกครั้งที่ผมมาไม่เคยรอนานขนาดนี้เลย เอาเฮอะ ตั้งใจมาแล้วนี่นา รอก็รอสิ.. :)

หลังจากที่รออยู่นานมาก ก็มาถึงคิวผมสักที ผมว่าคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของร้านนะและเขาก็ทำทรงผมให้ผู้หญิงด้วย เขาตัดดี ละเอียดดีมาก ซอยข้างหลังเนียบมาก โกนไรผมให้แบบเนียบจริง ๆ เออ.. วันนี้สมราคาที่รอจริง ๆ นะครับ

พอตัดผมเสร็จ ผมก็ไปซื้อของที่คาร์ฟูร์แป๊บหนึ่ง บวกกับเดินดูของนิดน่อย เสร็จแล้วก็ขับรถกลับเลยแวะปั้มคาลเท็กซ์ไกล้บ้านเหมือนเดิม เพื่อล้างรถ อืมมม คิวไม่ยาวมาก งั้นจอดไกล้ทีล้างนั่นแหละ จอดได้ไม่นาน ก็มีรถกระบะมาต่อท้ายอีกคัน อ้าวว มีเพื่อนแล้ว ..

ผมรอรถอยู่แป๊บหนึ่ง แผนกล้างก็เสร็จแล้วเขาขับมาต่อที่แผนกเป่า/เช็ดให้แห้ง ดูดฝุ่นด้านใน ลงแวกซ์ที่ล้อหน่อยหนึ่งเรียบร้อย สังเกตว่าจะไม่ค่อยนานเหมือนทุกครั้ง แต่ก็เฮอะเดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว และดูรอยคันแล้วเหมือมีรอยเล็ก ๆ เยอะเหมือนกัน เป็นรอยเหมือนโดนสะเก็ดก้อนหินมากกว่าทีจะเป็นรอยขีดข่วน เลยไม่รู้จะแก้แบบไหนดี นอกจากเคลือบใหม่ทั้งหมด

พอกลับถึงหอพัก ผมก็สำรวจรอบคันอีกครั้ง พร้อมเตรียมอุปกรณ์การขัดรอย แต่แล้วระหว่างที่ผมกำลังขัดเกลารอยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงประมาณว่าฝนตกทางทิศตะวันตก เลยมองขึ้นไปบนฟ้า โอ้ โน่.. มืดทะมึนมาเลยครับพี่น้อง ฝนตกแล้วหนักซะด้วย เก็บของแทบไม่ทัน บ้าจริง ๆ ขัดไปได้มีกี่รอยเองต้องรีบหลบฝนก่อนซะก่อน เสียดายจริง ๆ :P

ตลอดระยะการเดินทางวันนี้ ผมลุ้นอย่างเดียวว่าน้ำมันจะหมดกลางทางหรือเปล่านะ เพราะมันขึ้นไฟเตือนตั้งแต่วันศุกร์ตอนกลับจากซีคอนแล้ว


วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เปลี่ยนไปทางอาจณรงค์

เมื่อเช้าเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท. กล้วยน้ำไท ปั้มเดิมที่เติมประจำนั่นแหละ แต่เผอิญวันนี้ ผมลืมไปว่าเปลี่ยนมาเติมโซฮอล์ 91 แล้วเลยเข้าเทียบจอห้วจ่ายตรงกลาง ต้องถอยออกก่อนแล้วเข้าหัวจ่ายขวาสุด ระหว่างที่รอเติมน้ำมันอยู่นั้น ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งที่มีคนขับเป็นผู้หญิงอ่ะ วิ่งมาจอดเทียบข้าง ๆ เออ ... มาทำไมหว่า ก็จอดรอข้างหลังก็ได้นี่นา พอมองไปอีกที อ๋อ มีรถ 6 ล้อเข้ามารับพนักงานที่ยืนรอตรงทางเข้าปั้ม สาวคนนั้นเลยต้องหลบทางให้ก่อน

วันที่ 6:41 AM (ตามใบเสร็จ)
ชนิดน้ำมัน Gasohol 91
ราคาลิตรละ 31.34 บาท
จำนวน 28.717 ลิตร
จำนวน 900 บาท

จากครั้งที่แล้ว ราคาน้ำมันยังคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงครับ ถ้าเปลี่ยนก็ทีแต่ขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีลงอีกแล้วละ :P

พอผมวิ่งมาถึงแยกกล้วยน้ำไทก็ปิ๊งขึ้นในหัวว่าลองเปลี่ยนเส้นทางออกไปทางอาจณรงค์ - สุนทรโกษาดูจะดีไหม จากนั้นค่อยออกสามแยกคลองเตยตรงโรงเรียนหฤทัย ฯ เพราะตอนนี้มันก็สายแล้ว เดี๋ยวไปติดที่สี่แยกคลองเตยอีกเหมือนแต่ก่อน เพราะถ้าถึงแยกคลองเตยช่วง 6.30 - 7.00 ทีไรนะ ตำรวจจะปล่อยสายพระราม 4 น้อยมาก ผมเคยติดที่นี่เป็นชั่วโมง น่าเบื่อม๊ากกกก !!!

สรุป ผมถึงที่ทำงานประมาณ 7.10 น. ก็ถือว่าทำเวลาได้ดีนะ แต่ดูจะวุ่นวายหน่อยก่อนถึง 5 แยก ณ ระนองกับหน้าโรงเรียน เพราะรถเข้าออกจากเลนซ้ายสุดตลอดเวลา ทำให้รถสะดุดเวลาที่รถจะเข้าจะออกตลอด แถมกินเลนมาเลนกลางอีกต่างหาก ..

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เมื่อวานไปเพชรเกษม

ตอนแรกที่คุยกันกับแฟนว่าคงจะเอารถเพื่อนไปกันเพราะมันไกล อยากให้เอารถใหม่เพื่อนดีกว่า .. (แอบดีใจนิดๆว่าจะได้ไม่ต้องขับ) แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะรถคันนั้นมีธุระต้องออกต่างจังหวัด ถ้าเราจะยกเลิกก็ยังไงอยู่ สุดท้ายก็เลยต้องขับไปเอง

เราออกจากบ้านกันประมาณ 9 โมงเช้า (เป็นเวลาที่ดีมาจริง ๆ) ระหว่างทางก็มีการจอดพักอยู่ 2 ครั้ง คือกดตังค์ที่ตู้ atm และก็จอดเติมน้ำมันที่พระราม 4 และก็ไม่นับกับอีก 2 ครั้งที่ตอนขึ้น/ลงทางด่วนนะ..


พอขากลับ เผอิญอยากลองสะพานใหม่เลย เพราะเห็นว่าเปิดสะพานมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาศได้ไปทางนั้นสักที วันนี้แทนที่ผมจะวิ่งกลับทางเดิม ผมวิ่งเลยตรงทางด่วนเข้าออกไปทางพระประแดง ซิ่งอย่างเดียวครับ ผมว่าน่าจะวิ่งเกิน 100 มาเกือบตลอดนะ ถ้าจับความเร็วก็อาจจะโดนแหละมั้ง ถนนมันโล่งดีนี่นา จะให้วิ่งแค่ 70 - 90 ได้ไง :P

พอข้ามสะพานก็มีด่านลงก่อนศรีนครินทร์ เพียง 1-2 ด่านมั้ง แล้วผมก็ลงที่ศรีนคทร์ จ่ายค่าผ่านทาง 30 บาท... เออ .. ถูกจัง วิ่งทำความเร็วได้ดีมาก แต่วิ่งอ้อมไปไกลสุด ๆ ถ้าอ้อมไปไกลขนาดนั้นยังเจอรถนะ คงหมดอารมณ์แน่ ๆ

สรุป ผมใช้เวลาเดินทางตอนขากลับประมาณ ชั่วโมงนิด ๆ หรือไม่ถึงด้วยซ้ำเพราะมีการชะลอตรงเพชรเกษมแป๊บหนึ่ง ทางใหม่ใช้ดี รถน้อย วิ่งคล่อง ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นช่วงกลางคืนรถบรรทุกจะเยอะหรือเปล่านะ

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ที่แยกขึ้นทางด่วนสุขุมวิท 50

ผมเห็นรอยนี้มา 2-3 วันแล้วตั้งตอนเช้าก่อนที่ผมจะไปเพชรเกษม ผมคิดว่าวันไหนเอารถไปล้างจะลบรอยนี้ออก แต่ว่ามันมีรอยที่ขูดเข้าตรงสะเกิร์ตด้วย ลึกไหม ?? ผมว่าน่าจะลึกเหมือนกัน แต่รอยมันไม่ใหญ่เท่านั้นเอง ถึงลบออกก็คงเหลือที่เป็นรอยขูดรอยขีดอยู่อย่างนั้นแน่นอน


ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดวันศุกร์ที่ผมกลับบ้านเย็นตรงแยกขึ้นทางด่วนซอยสุขุมวิท 50 เพราะวันนั้นตอนที่กำลังจะข้ามเนินนั้น เผอิญว่ามีรถตัดเลนสวนทางมาจะขึ้นทางด่วน ผมเลยต้องหยุด เหยียบเบรคกระทันหันแต่ก็ไม่ได้แบบเสียงเอี๊ยด.. แล้วหยุดสนิทนะ ก็ชะลอมาแต่เบรคเท่านั้นเอง

จากนั้น พอผมข้ามแยกมาก็เห็นมีรถมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งตีไฟกระพริบใส่ผม 2-3 ครั้ง โอนเอนไปมา ทำท่าจะล้มว่างั้นเถอะ แต่ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น และผมก็ไม่ได้ยินเสียงหรือรู้สึกว่ามีอะไรมาชนท้ายรถของผมสักนิด หรือมีเสียงกระแทกอะไรกันเลย ผมเลยไม่สนใจอะไร

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Set up myhondajazz at twitter

ช่วงนี้ เห็นใครๆ ก็พูดถึง Twitter เลยอยากลองเอามาใช้กลับบลอกนี้ดูมั้ง แต่เนื่องจากว่า Blogger ไม่มี API ที่จะไใช้กับ Twitter ได้เลยต้องอาศัย TwitterFeed เพื่อดึงข้อความจากข้อความที่โพสต์เข้า Twitter แทน

จากที่ผมเพิ่งลองเล่น ๆ กับ TwitterFeed ดูก็พบว่าใช้งานได้ดีทีเดียว และเราสามารถเพิ่มหรือผูก account ของ twitter กับ feed หลาย ๆ กันเข้ากับ account ของ TwitterFeed เพียงอันเดียว ไม่จำเป็นต้องสมัครหลาย account เพื่อดึง feed จากหลายอันให้เข้าหน้า Twitter ได้เลย แบบง่าย ๆ ครับ

สนใจแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอะไรก็ฝากหน้า www.twitter.com/MyHondaJazz ของผมไว้สักอันนะครับ

- @MyHondaJazz
- Twitter
- TwitterFeed

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เหล็กใต้ก้อนแบตมันกร่อน

วันนี้ ผมว่าง ๆ เลยอยากเปิดดูห้องเครื่องบ้าง เพราะไม่เติมน้ำ ไม่ได้ล้างรถ ปัดฝุ่นห้องเครื่องนานแล้ว จริง ๆ ผมแทบจะไม่ทำเองหรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างมาตลอด เพราะไม่รู้จะอะไรได้บ้างเหมือนกัน :)

พอผมเปิดกระโปรงหน้าขึ้นมา จะหยิบเหล็กค้ำฝากระโปรง ผมก็ต้องตกใจละสิครับ เพราะผมเห็นว่าเหล็กใต้ก้อนแบตนั้นมันผุกร่อนไป มันมีเหมือนสนิมด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่ผมออกรถมาไม่ถึง 3 ปีเลย ซวยแล้ว... งานเข้าอีกแล้วครับพี่น้อง !!!

ถึงตอนนี้ ผมคิดถึงแต่วันที่ ผมไปเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ที่อู่ ATS Service ใกล้บ้านทันที เพราะวันที่เปลี่ยนแบตเตอรรี่ก้อนใหม่ ผมจำได้ว่ามีน้ำกรด น้ำกรั่นไหลออกมาเยอะมากตอนที่ใส่เข้าไปใหม่ ๆ แล้วเปิดสตาร์ทเครื่องไว้ ผมได้บอกให้เด็กที่อู่มาเช็ดให้ แล้วเขาก็บอกผมว่าเดี๋ยวมันก็หยุด ผมเพิ่งจะถึงบางอ้อก็ตอนนี้แหละ เออ.. หยุดแต่รถอั๊ะจะพังแล้วล่ะ!!!! (ขอตกใจอีกครั้ง)

ดูรูปข้างล่างประกอบครับ





- วันที่เปลี่ยนแบต

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เปลี่ยนใจมาใช้โซฮอล์ 91

เช้านี้ ผมเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท. ตรงกล้วยน้ำไท แต่พอเหลือบไปมองดูราคาน้ำมันที่ป้ายแล้ว ผมขอเปลี่ยนใจมาใช้แก๊ซโซฮอล์ 91 เหมือนตอนแรก ๆ ที่ผมออกรถมาเลยน่าจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็ถูกกว่าแก๊ซโซฮอล์ 95 อยู่ประมาณ 80 สตางค์

เคยสังเกตกันมั้ยครับว่าช่วงหลัง ๆ มา ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนกันแล้ว หนังสือพิพม์ก็ไม่ค่อยจะประโคมข่าวเหมือนแต่ก่อน เพราะว่าถึงจะทำอย่างไร ราคาน้ำมันมันก็ขึ้นอยู่ดี ไม่มีการเปลี่ยน ในเมื่อราคามันจะขึ้น แล้วเราจะไปบอกบอกว่าอย่าขึ้นนะ มันคงเป็นไปไม่ได้ พูดง่าย ๆ ต้องยอมรับสภาพไปอยู่อย่างนี้

ถ้าถามว่าราคาบ้านเราอิงราคาน้ำมันของที่ไหน คำตอบที่ได้จะบอกว่าสิงคโปร์ แต่ถ้าน้ำมันที่สิงคโปร์ลดลงแล้วบ้านเราลดลงไหม ป่าวครับ ไม่ลดอยู่ดี แต่พอทำท่าว่าจะลด อ้าว..ของสิงคโปร์ขึ้นอีกแล้ว เออ ... แล้วงัย ?!?! เราก็ต้องขึ้นตามเขาอีกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปรับลงเหมือนเขา 2-3 วันที่แล้ว มันก็เป็นอย่างนี้แหละนาย ... :P

ราคาน้ำมันวันนี้ - Gasohol 91 ราคา ลิตรละ 29.74 บาท


วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การจอดรถที่โรงแรมบันยัน ทรี

พอดีผมมีโอกาศได้ไปสัมมนาที่โรงแรมบันยัน ทรี (Ban Yan Tree Hotel) ที่ถนนสาทรใต้ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักดี แต่ผมจะขอพูดถึงเรื่องการจอดรถที่นี่ดีกว่าว่าเราจะเข้าออกอย่างไรบ้าง

เริ่มต้นตรงหน้าประตูทางเข้าหลักด้านถนนสาทร ผมต้องบอกว่าแค่ทางเข้าก็สร้างความสับสนให้กระผมซะแล้ว ก็ตรงทางเข้ามันเหมือนมีสองช่อง และทั้งสองช่องก็เขียนว่าเป็นทางเข้าเหมือนกัน อ้าว แล้วช่องไหนมันทางเข้า ช่องไหนทางออกกันแน่ ..

ช่องแรกก็เป็นทางเข้าครับ แต่ถ้าตรงไปจะมีป้ายบอกว่าเป็นทางเข้าสำหรับ visitors ชั่วคราว คือสำหรับรับส่งแบบชั่วคราว ประมาณว่าวิ่งเข้ามาสัก 15 นาทีก็ออกไป อันนี้ผมไม่รู้ว่าเข้าไปจะเจออะไรบ้าง เพราะผมมาที่นี้เพื่อทำกิจกรรมแบบทั้งวัน ฝากคนที่เข้าไปช่องมาสานต่อละกันนะ

ช่องที่สองก็เขียนว่าทางเข้า และถ้าตรงไปก็จะเป็นทางเข้าสำหรับแขกที่มาเพื่อทำกิจกรรมทั้งวัน วิ่งเข้าไปจะมีพี่ยามคอยตรวจใต้ท้องรถเหมือนทั่ว ๆ ไปเวลาเข้าห้าง เข้าโรงแรมหรู ๆ ครับ แม้ว่าจะไม่ได้แบบ 100 % ในเรื่องของความปรอดภัยแต่ก็ดีครับเพราะอย่างน้อยก็กรองรถที่วิ่งเข้าออกไปได้ระดับหนึ่ง

พอวิ่งสุดทางจะเจอทางเลี้ยวซ้ายขึ้นลานจอดด้านบน ตรงนี้ผมแนะนำให้เปิดไฟหน้าด้วย เพราะรถที่วิ่งสวนมาจะได้เห็นว่าเราขึ้นมาแล้ว ให้ระวังสักหน่อย พอวิ่งขึ้นได้หน่อยหนึ่งก็จะเจอตู้ยามให้บัตรจอดรถ ก็เป็นกระดาษสีขาวธรรมดาที่เขียนเลขทะเบียนของเราครับ ผมไม่ได้หมายความว่าเป็นกระดาษปล่าว ๆ นะครับ เขาก็มีลายลักษณ์อักษรว่าเป็นบัตรจอดนั่นแหละนะ

จากนั้นก็จะเป็นการวิ่งวนขวาชึ้นข้างบน หาที่จอดได้เลยทุกชั้น ตรงไหนว่างก็เลือกจอดได้เลย ลานจอดรถที่นี่อาจจะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่คิดนะครับ เพราะจะมีรถจอดทั้งแบบขนานทางที่รถวิ่งและจอดในซอง ก็ต้องสังเกตให้ดีว่าตรงไหนจอดได้ หรือจอดไม่ได้ ถ้าเป็นการจอดในซอง (ทั้งถอยเข้าจอดหรือเสียบหน้าเข้า) อาจจะดูยากหน่อยหนึ่งเพราะเขาไม่มีเลนให้จอดเป็นช่อง ๆ เหมือนที่อื่น ๆ

สำหรับเรื่องราคาค่าจอดเป็นอย่างนี้ครับ
- 15 นาทีแรกจอดฟรี อันนี้แค่รับส่งเพื่อนที่โรงแรม ห้ามจอดนานนะครับ
- ถ้าคิดเป็นชั่วโมง ๆ ละ 50 บาท/ชม. ก็ปัดเศษนาทีเป็นชั่วโมงถัดไปเหมือนที่อื่นนั่นแหละครับ แต่ถ้ามีแสตมป์บัตรจอดรถก็จอดฟรีได้

บทสรุปราคาผมว่าถ้าคิดว่าก็ยังถือว่าโอเคสำหรับโรงแรมหรู ๆ อย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีธุระอะไรก็คงไม่เข้าไปเดินเล่นแล้วก็ขับรถออกมาเฉย ๆ กันอยู่แล้ว

อ้อ.. ลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง ผมแนะนำให้จอดทางด้านฝั่ง A เพราะอยู่ฝั่งเดียวกันกับลิฟต์ เวลาขึ้นลงจะได้สะดวกกว่ากัน ไม่ยังงั้นพอออกจากลิฟต์ก็ต้องเดินขึ้นลงบันไดหรือทางที่รถวิ่งขึ้นลงนั่นแหละ อาจจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ แค่ลำพังรถที่วิ่งสวนกันก็เสียวพอแล้ว อย่าให้ต้องมาระวังคนเดิน้านข้างอีกเลยครับ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เลี้ยวขวาตรง 5 แยก ณ ระนอง

พอดีออกจากที่ทำงานแล้วรู้สึกว่ารถมันติดผิดปกติ แต่ผมยังดันทุรังที่จะลองดูมันจะนานมั้ย สุดท้ายผมก็ทนไม่ได้ขอฉีกตัวหนีออกจากพระราม 4 ก่อนดีกว่าจะโดยการกลับรถตรงแยกสาทรกับพระราม 4 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสวนพลู ซอยเดิมที่ชอบใช้เวลารถติดที่สาทร

พอหลุดจากซอยสวนพลูถึงแยกจะเข้าพระราม 2 มั้งเลี้ยวซ้ายก็จ๊ะเอ๋กับแถวยาวมากเพื่อขึ้นทางด่วนกัน ตายละหว่า แล้วเราจะทำยังไงดี ...

ผมตัดสินใจวิ่งทางราบลองดูดีกว่าว่าจะเป็นงัย พอเลยมาถึงแยก ณ ระนองแล้วเลี้ยวขวามาเรื่อย ๆ จนถึงหน้า ม. กรุงเทพฯ เออ.. ไม่ติดอย่างที่คิดนะ อาจจะสับสนเฉพาะช่วงแรกที่เข้าเพราะไม่เคยมาเส้นนี้เลยจริง ๆ อีกอย่างมันจะวิ่งลอดทางด่วนมาเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรอยู่ข้างบนตลอดเวลา

จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าถนนรถไฟสายเก่ามาออกสุขุมวิท 50 ตรงโลตัส อ่อนนุชนั่นแหละ เออออ.. ดีนะเนี่ย เดี๋ยววันหลังทำแบบนี้อีกทั้งดีกว่า :P

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผมมีประชุมดึก

วันนี้ ผมมีนัดประชุมกันประมาณ 19.00 - 20.00 น เลยถือโอกาศมาทำงานสาย เพราะยังไงก็ไม่ได้กลับเร็วอยู่ดี แม้จะรู้ตัวว่าถ้าออกสายต้องเจอรถติด ซึ่งเป็นรู้กันว่า ช่วงเวลาเร่งด่วนนั้น เส้นพระราม 4 ติดยังกะอะไรดีแต่ต้องลอง ๆ ดูเผื่อว่าวันนี้อาจจะดีกว่า

พอตอนเย็น ประชุมเสร็จประมาณ 20.00 น. พอเก็บของเสร็จปิดคอมพ์เรียบร้อยก็เดินไปที่ลานรถ เออ.. รถยังมีเยอะเหมือนกัน คนเข้าทำงานกันดึกจริง ๆ ซึ่งถ้าเรียกว่าดึกก็คงไม่ถูกมากนัก แต่เพราะว่าการทำงานของคนเราส่วนจะสิ้นวันแค่ตอน 5 - 6 โมงเย็นเท่านั้น คุณอยู่ที่ทำงานถึง 2 ทุ่มเนี่ย ไม่ธรรมดาแน่ ๆ จริงไหมครับ ???

มันมีเสียวก็ตอนที่ออกจากช่องที่จอดรถนั่นแหละ พอดีมีรถจอดซ้อนคันทางขวามือ แบบตรงที่จะออกพอดี ผมก็เห็นแล้วแหละ และก็เข็นออกไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง เพราะคิดว่าคงน่าจะพ้น แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมต้องขยับรถเข้าออก 2-3 รอบและที่สำคัญนะ ข้างรถของผมเกือบจะไปเบียดกับรถคันนั้น ตรงข้างบนล้อมันเหลือนิดเดียวเอง นิดเดียวจริง ๆ เพราะผมเอากระจกลงแล้วมองที่ขอบตรงหักมุมจะเลี้ยวเลย ไม่ได้มองที่กระจกข้างขวาด้วย เพราะมันคงชิดมาก ๆ

พอถึงแยกกล้วยน้ำไท เริ่มลัเลว่าจะไปทางไหนดี เลี้ยวซ้ายออกสุขุมวิท 42 ถ้าตรงไปก็ออกแยกพระโขนง และถ้าเลี้ยวขวาก็เป็นรถไฟสายเก่า รู้มั้ย ผมเลือกเส้นไหนครับ.. ผมเลือกไปสายรถไฟสายเก่า ช่วงหลัง ๆ มาผมชอบเส้นนี้มากกว่า เรพาะมันซิ่งได้เยอะกว่า เสียเวลาหน่อยช่วงหน้าวัดสะพานกับที่จะกลับรถใต้สะพานพระโขนง ถ้าผ่านสองจุดนี้ก็สบาย ๆ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีก คือรถไม่ติดแต่ขับให้ดีก็พอ :)

สรุปว่า ตอนเช้าผมขับรถออกจากบ้าน 9 โมงเช้า พอตกเย็นก็ขับรถกลับเข้าบ้านเวลา 3 ทุ่ม นาฬิกาหมุนรอบหนึ่งพอดี๊ พอดี...

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นัดประชุมแต่ก็ถูกเลื่อน

วันนี้ เลิกงานช้ากว่าปกติ เพราะมีประชุม แต่แล้วนายที่นัดประชุมกลับบอกว่าเลื่อนไปวันพรุ่งนี้ เพราะเขารถของเขามีปัญหา ผมเลยออกเร็วกว่าที่คิดแต่ตอนแรก

แต่ผมว่าน่าจะคิดผิดหรือถูกก้ไม่ทราบได้ เพราะพอมองลงที่ถนนสาทร รถเต็มพื้นที่หมด ตั้งแต่แยกสะพานไทย-เบลเยี่ยม จนเลยหน้าออฟฟิซไปแบบไกลจริง ๆ

ถ้าขืนผมออกไปแล้วรถเข้าพระราม 4 เหมือนที่เคย ผมว่าน่าจะใช้เวลานานมาก ๆ ดีไม่ดี ถึงบ้านคงปาเข้าไป 3 - 4 ทุ่มเหมือนเมื่อนานมาแล้ว ผมออกจจากออฟฟิซประมาณ 17.30 น. แต่ถึงบ้านจริง ๆ 21.00 น. ตอนนั้นผมวิ่งเลยเข้าถนนวิทยุแล้วเข้าไปทางถนนเพชรบุรีแล้ว จากนั้นเลี้ยวขวาเข้ามาศรีนครินทร์ตรงแยกพัฒนาการ เพราะยังใช้ทางด่วนไม่เป็น ยอมรับไกลและใช้เวลานานมากเกินจริง

เย็นนี้ พอผมออกจากออฟิซได้ ผมก็ตีไฟเข้าขวาตลอด เพราะต้องกลับรถเข้าสวนพลูให้ได้ เหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจ เปิดช่องปล่อยให้ผมเข้าขวาให้ได้ก่อนแล้วเลื่อนรถขึ้นมาเพราะใช้เวลาตรงนี้เพียงน้อยนิด ไม่ถึง 5 นาทีมั้ง :) จริง ๆ แล้วถึงแม้ว่า ถ้าเขาจะไม่ยอมให้ผมเข้าขวาก็จะทำให้เขาและคนอื่นๆ ไปไหนไม่ได้เหมือนกันเพราะรถมันติดอยู่แล้ว และทุกคนก็จะติดตรงนั้นแบบขัดลำไว้เฉย ๆ ซึ่งเสียเวลามากกว่าซะอีก

พอผมกลับรถได้ผมก็เลี้ยวเข้าสวยพลู เสียเวลานิดหน่อยเพราะถนนมันแคบ คนเดินข้ามถนนบ้าง รถจอดกินเลนบ้าง แต่ก็ยังดีกว่ารอไปพระราม 4 แบบไม่มีวี่แววว่าจะได้ไปเมื่อไหร่ พอขึ้นทางด่วนได้ก็บึ่งกันแบบสุด ๆ ผมว่าร่าจะอยู่ 80 - 90 km/h ได้แหละ จะเสียเวลาก็ตรงที่กลับรถใต้สะพานพระโขนงเท่านั้นเอง นอกนั้นก็ชิว ชิวววว..

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฝาถังน้ำมันปิดไม่สนิท

เช้านี้ พอผมจอดรถปุ๊บก็ลองเดินดูรอบ ๆ คันสักหน่อย ว่าจอดรถกินที่พี่ยามที่ลานจอดมั้ยเพราะวันนี้ ผมจอดไกล้ ๆ เสาร์ที่แกชอบมาวางกับข้าว ต้องเคลียร์ทางให้แกบ้างนิดหน่อย

ผมก็เดินไปดูข้างหลัง อ้าว ฝาถังน้ำมันปิดไม่สนิท แน่นอนครับ ผมคิดถึงเด็กปั้มที่ปุ้ม ปตท. กล้วยน้ำไทที่ผมแวะเข้าเติมน้ำมันเมื่อเช้าทำชัวร์ ๆ ไม่มีใครอื่น อีกอย่างตอนเช้าผมก็เช็ดกระจกรถ เดินรอบรถไปแล้วหลายรอบ แล้วก็มีจอดเติมน้ำมันที่เดียวเท่านั้น

ถ้าอย่างนั้น เย็นนี้ ก่อนขับรถกลับบ้าน ผมคงต้องลองดูแล้วว่าเขาปิดฝาด้านในสนิทดีหรือเปล่า ถ้าปิดไม่สนิท ผมเชื่อว่าน้ำมันจะต้องสิ้นเปลืองไปมากกว่าปกติแน่ เพราะน้ำมันระเหยออกไปได้ ไม่เพียงตอนที่ขณะเดินรถ แม้แต่ตอนจอดที่บ้านหรือที่ทำงานก็ตาม มันก็ระเหยได้ทั้งนั้น บอกตามตรงว่าผมก็ไม่เคยสงสัยเรื่องอย่างนี้หรอก แต่ต่อไปนี้ ผมขอเช็คฝาถังน้ำมันทั้งด้านในและด้านนอกทุกครั้งที่เติมน้ำมัน ว่าเขาปิดสนิทดีหรือไม่

ผมจำได้ว่า เขาทำแบบนี้มา 2 - 3 ครั้งแล้ว มันเสียเวลามากนักเหรอที่จะหมุนสายฝาผิดถังน้ำมันออกไปก่อน แล้วค่อยหมุนฝาถังน้ำมันด้านในให้สนิท แล้วก็ปิดฝาถังด้านนอกอีกทีให้มันเรียบร้อยสักหน่อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะรีบไปไหน เพราะยังไงผมก็ต้องรอจ่ายตังค์อยู่ดี หรือว่าแค่อยากทำให้เติมน้ำมันให้เสร็จ ๆ ไป ลูกค้าจะได้ออกไป แล้วลูกค้าคนใหม่จะได้เข้ามา แต่ผมดูแล้วตอนนั้นก็ไม่มีใครรอเติมน้ำมันข้างหลังผมอีกแล้วนะ

ผมเคยเห็นแต่ของคนอื่นที่ฝาถังน้ำมันมัน เปิดออกมาแบบสุดเลยแต่เจ้าของรถก็เฉย วิ่งไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมว่าเขาน่าจะมองเห็นนะ เพราะกระจกมองข้างก็ทำมุมได้อยู่แล้วนี่นา และบางคนก็ปิดประตูไม่สนิท เออ.. แล้วไฟที่หน้าปัดไม่โชว์บอกว่าประตูปิดไม่สนิทก็ไม่รู้นะ ผมเองก็เคยเหมือนกัน แต่เป็นประตูหลังหากันแทบตามเพราะตรงไฟที่ประตูหลังมีกล่องบังพอดี :P



วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันหยุดแต่สุดๆ กับการเดินทาง

ผมต้องบอกว่า วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมใช้รถได้คุ้มจริง ๆ ซึ่งจริงๆ ก็รถของผมได้ทำงานหนักกว่าทุกๆ วัน เพราะว่าเพื่อนของผมชวนไปดูบ้าน ดูทาวน์เฮ้าส์ ผมก็เลยต้องทำหน้าที่ขับรถไปดูตามหมู่บ้านต่าง ๆ โดยที่มีผู้โดยสารตัวน้อย ๆ มาด้วยคนหนึ่ง

เราเริ่มกันตอนเช้า 9 โมง แถว ๆ ถนนศรีนครินทร์เพราะอยู่ไกล้บ้านดี จากนั้นก็วนเข้าถนนเฉลิมพระเกียรติอ้อมสวนหลวงออกไปทางอ่อนนุช เสร็จจากนั้นก็ออกไปกิ่งแก้ว เพื่อจะดู the connect แต่พอโทรเข้าไปเขาบอกว่าโครงการปิดแล้ว ไหน ๆ ก็จะดูของ the connect ก็อยากจะดูให้ได้ ผม เลยขึ้นทางด่วนไปลงดอนเมืองเพื่อจะดูของ the connect ที่ดอนเมืองกัน

พอดูบ้านเรียบร้อยเริ่มจะหิว ก็แวะเข้า รังสิต หากับช้าวกินซะก่อนแทน เราก็เดินดูหลายร้านแล้วก็มาลงที่ร้าน แซ่บ อะไรสักอย่างที่อยู่ตรงข้ามกับร้าน the country pub แหละ (จำไม่ค่อยได้อ่ะ)

ถ้าถามว่าอาหารอร่อยมั้ย ผมบอกเลยว่าไม่เลยครับ พ่อครัวจะเติมข้าวคั่วทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นลาบก้อยซอยต้ม เขาใส่ข้าวคั่วหมดทุกชนิด และก็มือหนักซะด้วย ผมยอมรับนะว่าว่าข้าวคั่วมันทำให้อาหารหอม แต่ถ้าใส่เยอะมันก็จะเสียรสชาติอื่น ๆ ได้

พอกินข้าวเที่ยงกันเสร็จก็เตรียมตัวไปอีกงานหนึ่งตอน 6 โมงเย็นที่ไก่ย่างพระราม 9 ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าจะกลับห้องก่อน เพื่อนส่งให้ลูกกลับมานอนก่อนที่ห้อง เพราะเดินทางมาทั้งวันแล้ว เขาคงเหนื่อยมาก ตอนแรกผมก็คิดว่าคงออกมาไม่นานก็กลับ แต่เอาเข้าจริง ๆ ต้องเดินทางทั้งวันเลยทีเดียว

ขอพูดถึงมื้อเย็นนี้นิดหนึ่ง พอดีว่าเพื่อน ๆ อยากนัดพบปะสังสรรค์เจอกันสักหน่อยเลยหาร้านที่พอจะนั่งนานๆ ได้ด้วย เผื่อจะได้คุยกันานาน ๆ หน่อย เพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว และที่เลือกร้านนี้เพราะทุกคนเป็นหนุ่มอีสานกันทั้งนั้น ถ้าจะชวนกันไปกินพิซซ่าหน้าทะเล หรือไก่ kfc ก็คงจะดูไม่ถูกปากสักเท่าไหร :)

เราก็นั่งกินข้าวกัน คุยกันไปเรื่อย ๆ กว่าจะเลิกลากันก็ 3 ทุ่มกว่าเกือบ 4 ทุ่มมั้ง ประมาณว่าเด็กในร้านนั่งมองตาละห้อยว่าเมื่อไหรจะออกสักที ได้เวลาเลิกงานแล้ว ฉันจะกลับบ้าน !! จนแม่บ้านที่เก็บถ้วนชามเดินมาบอกว่าจะปิดร้านแล้วค่ะ .. เท่านั้นแหละเราก็เลยแยกย้ายกลับกัน

ก่อนออกจากร้าน พอดีมีรถขายผลไม้ข้าง ๆ เลยเดินไปซื้อทุเรียนสัก 1 - 2 โลแต่เผอิญเจอคนขายเป็นคนบ้านเฮา ๆ เขาเลยหยิบให้ 2-3 ลูกบอกให้ฟรี ๆ เลยครับ แต่พี่ต้องไปแกะเอาเอง ผมจะกลับบ้านแล้ว .. อ้าววว ของฟรีใครก็ชอบ เดี๋ยวค่อยหาวิธีแกะเองที่บ้านละกันนะ

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เป็นฆาตรกรแต่เช้าเลยเรา

เช้านี้ ผมขับรถออกจากบ้านก็เวลาตามปกตินั่นแหละ คือประมาณ 6 โมงเช้า

เหตุมันเกิดตั้งแต่ยังไม่ออกจากซอยที่อยู่ด้วยซ้ำ พอดีว่ามันเป็นช่วงวนรถจะออกจากซอย และตรงนั้นจะมีบ้านเช่าเป็นห้อง ๆ และก็มีส่วนที่บ้านสำหรับรถบรรทุกอะไรสักอย่างนี่แหละ ที่ถนนก็จะมีไก่ลงมาเดินเล่นที่ถนนเยอะแยะเหมือนทุกวัน ผมก็เจอแบบนี้เป็นประจำจนชินแล้วละ พอวิ่งมาช่วงนี้ทีไร ผมก็จะชะลอเกือบจะหยุดด้วยซ้ำ กลัวไปเหยียบไก่ของชาวบ้านเขา

แต่วันนี้ ไม่รู้เป็นอะไร พอผมกำลังขับ ๆ อยู่ก็มีเสียงตุ๊บขึ้นมาพร้อม ๆ กับรถของผมมีอาการว่าปีนอะไรสักอย่างเข้าแล้ว ผมคิดว่าต้องโดนอะไรสักอย่างเข้าแล้ว ไก่หรือเปล่าหว่า .. เป็นฆาตรกรแต่เช้าเลยเรา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเหยียบได้นะ คิดว่าพออยู่ไต้ท้องรถแล้วมันคงวิ่งไปมาแล้วเพราะไม่รู้จะออกทางไหน สุดท้ายก็เลโดนเหยียบซะงั้น :(

พอดีมีรถอีกคันวิ่งตามมาเลยไม่ได้จอดดู แต่มองกระจกหลังเห็นอะไรสักอย่างกองอยู่ที่พื้น และรถคันนั้นก็เบี่ยงออกจากซากที่กองอยู่ โอ.. ซากไก่ที่เราเพิ่งเหยียบเมื้อกี้ละมั้ง งั้นเดี๋ยวตอนเย็นค่อยมาเจรจาล่ะกัน เช้านี้ ขอไปทำงานก่อน

ถึงไก่ที่โดนเหยียบยังไงก็ขอโทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ :P

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เกือบชนแต่เช้าเลย

เช้านี้ ผมขับรถมาทำงานรู้สึกแปลก ๆ เบลอ ๆ ยังไงไม่รู้สิ เหตุมันเกิตอนที่ออกจากหอพักนั่นแหละ ห่างจากหอพักไม่ถึง 150 เมตรด้วยมั้ง ผมก็ขับมาช้า ๆ แบบสบายใจว่าเออวันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง จะแวะซื้อน้ำเต้าหู้ที่ปากซอย 35 ก่อนดีมั้ย หรือว่าจะซิ่งไปที่ทำงานเลยดีกว่า เพราะตอนนี้มันก็เกือบจะสายแล้ว ทันไดนั้น ขณะที่ผมกำลังขับรถแบบเพลิน ๆ ผมก็ต้องเบรคแบบตัวโก่งเลย เพราะมีรถออกจากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือ

จริง ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาออกมาเมื่อไหร่ เพราะเขาก็โผล่หน้ารถออกมามากเหมือนกัน จริงๆ อาจจะเป็นเพราะรถปิคอัพคันที่จอดบังทางออกจากบ้านเขามั้ง เพราะพอผมพ้นท้ายรถปิคอัพคันนั้นก็เกือบจะชนกันแล้ว หรือไม่ก็ต่างคนต่างคิดไม่ถึง(ไม่ใส่ใจ) ว่าจะมีรถวิ่งมาออกทาง น้อยนักที่จะมีรถวิ่งเข้าออกเวลาเช้า ๆ แบบนี้ แต่ก็โชคดีที่เราก็เบรคทันกัน ไม่งั้นก็คงซวยแต่เช้าแน่ๆ

หลังจากนั้น ผมก็หยุดดูอาการนิดหนึ่งว่าเขาจะเอายังไง ประมาณว่าเงียบกันไปทั้งคู่ คงคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี คิดไปคิดมา ผมไม่เห็นว่าเขาจะขยับออกมาอีก อ้าว .. งั้นผมขอออกตัวไปเลยดีกว่านะ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าใครผิดใครถูก เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ามีรถออกจากบ้านหลังนั้นมา ผมก็รู้แหละนะว่าเขามีรถเยอะ แต่ไม่เคยเห็นเขาขับออกมาสักที พอมาวันนี้เกือบจะชนกันซะงั้น ...

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เข็มไมล์ได้เลขสวย

ก่อนออกเดินทางกลับกรุงเทพ ผมเห็นว่าตอนนี้เข็มได้เลขสวย เลยขอถ่ายเก็บไว้หน่อย ตอนแรกผมตั้งใจจะถ่ายตอนที่ครบ 3 หมื่นโลพอดี แต่ผมดันลืมไป ช่วงที่ออกจากทุ่งดอกกระเจียวเมื่อวาน งั้นคิดว่าคงอีกไม่นานคงจะได้เลขสวยเหมือนกัน

เออ.. ถามว่า ผมจะเอาเลขไปทำไม ผมไม่ได้เอาไว้ทำอะไรมาก ผมก็คงตอบง่าย ๆ สั้นๆ ว่า ผมก็แค่อยากเก็บก็เท่านั้นเอง

ส่วนใหญ่ที่ผมจะเก็บเลขไมล์ไว้ก็ตอนที่เติมน้ำมันแต่ละงวด เพราะจะได้รู้ว่ารถของเรากินน้ำมันมากน้อยแค่ไหน ผมไม่ได้มีระบบระเบียบอะไรมากนักหรอกครับ แค่เขียนใส่สมุดเล็กที่อยู่รถแล้ว พอถึงบ้านก็เก็บเข้าเป็นไฟล์ excel เท่านั้น ผมได้เก็บไฟล์ตัวอย่างไว้ที่ my fuel sheet ใน Google Documents ให้ลองเอาไปใช้ดู และสามารถปรับแต่งเติมต่อส่วนที่ต้องการได้เลยครับ

จริง ๆ แล้วผมชอบเก็บเข็มไมล์เวลาไปไหนมาไหนตลอดเหมือนกันแหละ แต่ที่บ่อยน่าจะเป็นตอนที่เติมน้ำมัน เพราะผมจะจดไว้ทุกครั้ง รวมถึงราคาน้ำมัน ค่าน้ำมันที่จ่ายแต่ละงวด และนั่นแหละ บางทีนะที่ผมพบว่าเวลาเติมน้ำมันแล้ว เอาจำนวนลิตรที่ได้กับราคาต่อลิตรมาคูณกัน รู้ไหม เกิดอะไรขึ้น ?!?! ก็จำนวนลิตรที่ได้มันน้อยกว่าผลลัพย์ที่อออกมา นั่นคือผมโดนปั้มโกงน้ำมันซะแล้วครับ ถ้าผลต่างไม่เกิน 0.5 บาท หรือ 0.5 ลิตร ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่บางทีผมเคยโดนไปถึง 40 - 50 บาท

ส่วนใหญ่ผมจะคิดทีหลังครับ ไม่ได้คิดตรงหัวจ่ายทันทีหรอก เพราะถ้าต้องไปเสียเวลาคิดยอดอยู่ตรงนั้น ผมว่าคงไม่ต้องทำมาหากินซะเปล่า

พอพูดมาถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า ถ้าผมเจอว่าที่ไหนโกงผมบ้างแล้วผมจะไม่ไปใช้บริการปั้มนั้นอีกเลย ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเรามีวิธีไหนที่จะจัดการกับพวกขี้โกงแบบนี้ได้บ้าง ถามว่า สคบ. ที่รับร้องเรียนเนี่ย เขาทำอะไรบ้างหลังจากรับเรื่องไปแล้ว ผมว่าทุกวันนี้ ถ้าเรื่องของคุณไม่ได้ออกข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์นะ คุณก็ได้แค่ร้องเรียนเท่านั้น ไม่มีใครสนใจสืบสาวหาต้นต่อสาเหตุที่แท้จริงหรอก ยิ่งถ้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เดี๋ยวเดียวข่าวนั้นก็เงียบหายไป เห็นด้วยไหมครับ

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เที่ยวทุ่งดอกกระเจียว

ผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวเมื่อหลายปีมาแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเปิดทุ่งเลยมั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาศสักที จะด้วยสาเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ไกลจากบ้านผมมากนัก (แต่ผมมาทำงานที่ กทม) เลยไม่ได้ไปสักที และแล้วเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา ผมมีธุระจะต้องเดินทางกลับบ้าน เลยถือโอกาศแวะไปชมทุ่งดอกกระเจียวให้สมใจเสียที เพราะไหน ๆ เราขับรถไปเองจะจอดแวะเที่ยวชมดูสักครั้งก็ไม่เสียหลาย เห็นใคร ๆ ก็พูดถึงว่าน่าสนใจ น่าไปเที่ยวกันจัง

การเดินทาง :

ผมออกเดินทางประมาณตี 4 กว่าๆ ของเช้าวันที่ 20 ขับไปรับพี่ชายที่ห้วยขวางเสร็จแล้วก็ขึ้นทางด่วนที่สุทธิสารไปลงที่รังสิต ขับต่อไปถึงสระบุรีแวะเข้าปั๊มปตท.ที่สระบุรีสัก 10 นาทีแล้วก็ไปต่อตามเส้นทาง สระบุรี - พัฒนานิคม ช่วงนี้แหละผมหลงทางไปนิดหนึ่ง พอผมเลี้ยวขวาไปทางท่าหลวงแล้ว รู้สึกว่ามันงง เหมือนจะเข้าไปทางเขื่อนป่าสัก ฯ เลยต้งจอดรถถามทางกันก่อน กันไว้ก่อน ไม่อยากเลยไปไกลแล้ววนรถกลับมาอีกครั้ง

จากนั้น ผมก็บึ่งรถขึ้นไปทางท่าหลวง เลี้ยวไปทางลำสนธิ ไปเรื่อย ๆ ตามป้าย อ. เทพสถิตย์ แม้ว่าทางเส้นนี้จะไปตามไหล่แต่ต้องบอกถนนดีมาก ผมก้ไม่คอดหรอกว่าจะขับรถขึ้นเขาลงเขาแบบนี้ แต่ถนนดี เลยทำให้ขับไปได้ง่าย (รถไม่เยอะด้วยแหละมั้ง) เออ.. ขอบอกว่าผมลองเปลี่ยนเกียร์ขุณะขับอยู่ที่ D มาเป็น S ตอนที่ขึ้นเขาลงเขา หรือเวลาขึ้นเนินลงเนินต่าง ๆ ผมก็ทำแบบเดียวกัน อืมม ง่ายกว่าที่คิดมากครับ

เพราะผมมัวแต่ขับรถเพลินไปหน่อยทำให้ขับรถเลยไปถึง อ. เทพสถิตย์ ก็ต้องตีรถกลับมานิดหน่อย แล้วก็ขับไปเรื่อย ๆ ช้าบ้าง ซิ่งบ้างแล้วแต่พื้นของถนน.. :)

พอก่อนจะถึงทางเข้าทุ่งดอกกระเจียว ผมจอดรถซื้อกับข้าวก่อนนิดหน่อย ไม่ได้ซื้ออะไรมากหรอกครับ เอาแค่ปิ้งไก่สักไม้กับข้าวหลาม 100 บาท แค่นี้ก็น่าจะอิ่มกันทุกคนแล้ว

หลังจากที่ซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขับไปเข้าไปในเขตอุทยาน ฯ เจ้าหน้าที่ก็โบกมือให้เข้าไปด้านหลัง ทั้ง ๆ ที่ข้างหน้าตรงทางเข้าว่างเยอะพอที่จะจอดได้ แต่ไม่เป็นไร ผมเลยอ้อมไปหาที่จอดรถข้างหลังอุทยาน ฯ ตามที่เขาบอกละกัน ผมก็ขับไปเรื่อย ๆ พอดีมีที่จอดข้างหลังรถของพ่อค้าที่มาส่งกับข้าวแถวนั้นมั้ง เพราะมองไปนิดหนึ่งจะมีร้านขายกับข้าวใกล้ ๆ พอจอดรถเสร็จก็หาที่นั่งไกล้ทานข้าวเช้ากันก่อน เตรียมตัวเดินเท้าเข้าอุทยาน ฯ ชมดอกกระเจียวกันต่อ..


ขอคุยเรื่องที่จอดก่อนดีกว่าสำหรับคนที่ยังไม่เคยไปเที่ยวที่นี่ ผมลองมองดูทั่ว ๆ ที่จอดรถแล้วเขาน่าจะมีลานจอดอยู่ 2-3 ที่คือตรงด้านหน้า-ด้านหลังสำนักงานอุทยาน ฯ แต่ถ้าไปสายหน่อย ก็สามารถข้ามไปฝั่งตรงข้ามสำนักงานอีกที่หนึ่งซึ่งก็ไม่ไกลมากครับ


พอกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกจากลานจอดรถไปที่ทางเข้าอุทยาน ฯ โดยใช้เวลาประมาณ 3 นาที จากนั้นก็ซื้อตั๋วค่าเข้าชม คนละ 10 บาท พอเดินผ่านประตูเข้าไปก็จะเจอร้านถ่ายรูป แล้วเขาจะมาขอถ่ายรูปของเราเพื่อเอาไปปริ้นต์แล้วคืนให้เราตอนออกมา ดดยคิดค่าจัดทำภาพละ 100 บาท




ห่างออกไปไม่ไกลมากก็จะเจอ ที่ยืนรอรถที่จะพาขึ้นไปชมดอกกระเจียว รถที่จะมารับเราก็แบบที่เห็นข้างล่าง ที่มีลักษณะเหมือนรถรางครับ แต่มีล้อ ใช้น้ำมันเหมือนรถทั่วไป


เมื่อคนขึ้นจนเต็มแล้ว รถก็ออกตัวทันทีเลย ไม่ได้รอให้เสียเวลาอะไรอีกแล้ว บนรถก็จะมีไกด์นักเรียนตัวน้อย ๆ คอยอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับอุทยานและแนะนำว่าจะขึ้นลงตรงไหนบ้าง ผมพยายามถ่ายรูปน้องเขาไว้เหมือนกันแต่รถวิ่งเลยไม่ได้ภาพที่ชัดสักภาพ.. เลยไม่ได้เอาภาพน่ารักของน้อง ๆ มาโชว์ครับ :(

พอรถพาเราไปถึงลานจอดรถข้างบนที่อยู่ไกล้ ๆ กับทุ่งดอกกระเจียว ทุกคนก็จะลงรถไปเดินชมรอบตามต้องการ ถ้าจะกลับก็สามารถขึ้นรถคันไหนกลับลงไปก็ได้ เพราะตั๋วค่าเป็นแบบเหมาจ่ายแล้ว

ดูรูปไปเรื่อย ๆ ล่ะกัน ไม่ขออธิบายอะไรอีกแล้ว ดูบรรยากาศข้างบนสวย ๆ เลยละกัน (ภาพอาจจะไม่สวยมากเพราะเพิ่งจะหัดแล่นกล้องตัวนี้ได้ไม่นาน)




พอเสร็จทุ่งดอกกระเจียว ผมก็ขึ้นรถสายเดิมนั่นแหละ แต่คงไม่ใช่คันเดิมหรอกนะเพื่อลงไปที่ป่าหินงาม


ชมภาพเอาละกันนะครับ ไม่อยากอธิบายมาก :)








อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้มีเวลาที่จะเดินถ่ายรูปเหมือนที่ตั้งใจเท่าไรเพราะต้องอุ้มเจ้าตัวเล็ก และก็แดดมันร้อนมากวันนั้น ถ้าคิดจุไปก็เอาร่มติดไม้ติดมือไปด้วยจะเป็นการดี ยิ่งถ้าไปไม่ถูกวันอาจจะเจอฝนได้เหมือนกัน :)

พอเสร็จจากป่าหินงาม ก็เดินมารอรถข้างล่าง ตรงที่เขามาส่งลงนั่นแหละ

ถ้ามาแค่วันเดียวก็คงไม่มีที่จะแนะนำได้อีกแล้ว เอาเป็นว่าคงหมดหน้าที่นำเที่ยวแล้ว แต่ถ้ามาหลายวันก็คงพอมีทัวร์สั้น ๆ ไว้ในใจกันแล้ว คงไม่ต้องบอกจะไปไหนต่อนะ แต่เอ.. ขอเกริ่นไว้หน่อยดีกว่า นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงหลายที่ด้วยกันเช่นน้ำตกตาดโตน หรือขากลับอาจจะแวะเข้าใหญ่ น้ำตกที่นครนายกก็ได้เช่นกัน

เอาล่ะ ผมแนะนำแค่นี้แหละ อาจจะไม่ละเอียดแต่ก็เอาพอเป็น idea กว้าง ๆว่าจะวางแผนเที่ยวกันอย่างไรนะครับ โชคดี!!

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ซ่อมสะพานข้ามแยกทั่วกรุง

ผมเจอข่าวนี้ในหนังสือพิมพ์ Daily Express ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนขับมาทำงานเช้าเย็นเลยเก็บข่าวมาฝากจะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ว่าจะไปทางไหนอีกได้บ้าง

###############

ซ่อมสะพานข้ามแยกทั่วกรุง เริ่ม ส.ค. นี้ แจ้งผู้ใช้ถนนทราบก่อนอย่างน้อย 30 วัน

กทม. จะแจ้งผู้ใช้รถใช้ถนนทราบก่อนปิดช่องจราจรเพื่อซ่อมแซมสะพานข้ามทางแยกทั่วกรุงเทพฯ 13 แห่ง อย่างน้อย 30 วัน เริ่มทยอยปิดสะพานแห่งแรกเดือน ส.ค. นี้ สาเหตุส่วนใหญ่ฐานสะพาน หรือผิวจราจร ชำรุดผุกร่อน หนักสุด คือ สะพานข้ามแยกอโศก-เพชรบุรี ต้องรื้อถอนและสร้างใหม่ เนื่องจากโครงสร้างชำรุดมากที่สุด

ดร. ประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวการซ่อมสะพานข้ามแยก 13 แห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า กรุงเทพมหานครมีแผนปรับปรุงซ่อมแซมสะพานข้ามทางแยก 13 แห่ง แต่ในช่วงนี้เป็นฤดูฝน และโรงเรียนใน กทม.เปิดเทอม เกรงว่าประชาชนจะเดือดร้อน จึงเลื่อนการซ่อมแซมโดยทยอยปิดสะพานแห่งแรกประมาณเดือนสิงหาคมนี้

ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องมีการซ่อมแซมสะพานทั้ง 13 แห่ง เนื่องจากบริเวณฐานสะพาน หรือผิวจราจร ชำรุดผุกร่อนเป็นจำนวนมาก จึงต้องเร่งซ่อมแซม โดย 12 สะพานแรก จะจัดแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามพื้นที่ใกล้เคียงและถนนที่ต่อเนื่องในเส้นทาง คือ กลุ่มที่ 1 แนว ถ.รัชดาภิเษก ถ.พหลโยธิน ประกอบด้วย สะพานข้ามแยกประชานุกูล ปิดการจราจรฝั่งละ 45 วัน สะพานวงศ์สว่าง ปิดการจราจรฝั่งละ 45 วัน สะพานเกษตร ปิดการจราจรต่อเนื่อง 15 วัน สะพานรัชโยธิน ปิดการจราจรฝั่งละ 15 วัน และสะพานพงษ์เพชร ปิดการจราจรฝั่งละ 45 วัน ส่วนสะพานที่ 13 คือ สะพานข้ามแยกอโศก-เพชรบุรี จะต้องมีการรื้อถอนและสร้างใหม่ เนื่องจากโครงสร้างมีความผุกร่อนและชำรุดมากที่สุด

กลุ่มที่ 2 แนว ถ.จรัญสนิทวงศ์ พื้นที่ฝั่งธนบุรี ประกอบด้วย สะพานท่าพระ ปิดการจราจรฝั่งละ 45 วัน สะพานบางพลัด ปิดการจราจรฝั่งละ 45 วัน กลุ่มที่ 3 แนว ถ.พระราม 9 และ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ประกอบด้วย สะพานคลองตัน ปิดการจราจรฝั่งละ 90 วัน ส่วนสะพานพระราม 9 - รามคำแหง และสะพานพระราม 9 – อสมท. จะไม่มีการปิดจราจร และกลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มที่อยู่ห่างจากกลุ่มอื่นๆ ประกอบด้วย สะพานสามเหลี่ยมดินแดง ปิดการจราจร 30 วัน และสะพานพระราม 4 ปิดการจราจรฝั่งละ 45 วัน

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้สะพานบางแห่งที่การปรับปรุงสะพานโดยไม่ต้องปิดสะพาน เช่น การทำสีสะพาน การขันนอตสะพาน ระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง กำลังดำเนินการโดยไม่มีผลกระทบกับการจราจร แต่การปรับปรุงที่ต้องปิดสะพาน เนื่องจากต้องทำพื้นผิวสะพานใหม่ การเปลี่ยนฐานรองคานสะพาน รอยต่อสะพาน ราวสะพาน และเชิงลาดสะพาน จะต้องมีการปิดการจราจร โดยกทม. จะประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน เพื่อแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงใช้เส้นทางในบริเวณที่มีการก่อสร้าง โดยประสานกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อทำแผนการปิดช่องจราจรบนสะพานแต่ละแห่งและขอกำลังตำรวจจราจรช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งจะทำทางเบี่ยงในเส้นทางที่ปิดจราจรเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

Source: http://city.bangkok.go.th/th/news-special-info.php?id=1639

Links:
- BMA
- Google Map
- Longdo Map

###############

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จอดรถที่โรงแรมดุสิตธานี

พอดีวันนี้ ผมขับรถมาสัมนาที่โรงแรมดุสิตธานี ตรงแยกพระราม 4 กับสีลมนั่นแหละครับ จริง ๆ ไปที่นี้มาก็ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ไม่ค่อยมีเวลาเขียนเรื่องการจอดที่นี่สักที

ตามปกติที่ผมวิ่งเข้าโรงแรมทางฝี่งหน้าสวนลุมฯ จะอ้อมมาไปจอดหน้าโรงแรมที่เป็นลานกลางแจ้ง แต่เผอิญวันนี้ ผมเลี้ยวเข้าด้านขวาเพื่อจะไปจอดตรงด้านหน้าโรงแรมไม่ได้เพราะเห็นมีรถ 2-3 คันกำลังวิ่งเข้าออกสวนทางกัน เลยตัดสินใจวิ่งขึ้นไปลานจอดในตัวโรงแรมแทน

ผมมองขึ้นไปทางขึ้นเห็นมีผู้ชายเดินอยู่กลางเลน 2 คนก็เลยบีบแตรใส่สักหน่อย คิดเล่น ๆ ว่า "คนอะไร เดินตรงทางขึ้นลานจอดโดยไม่สนใจว่าจะมีรถขึ้นมาจอดรถสักนิด"

พอผ่าน เข้าถึงที่จอดรถจริง ๆ ผมก็รูสึกแปลกตรงที่ว่าทำไมที่จอดมันไม่เป็นระเบียบแบบนี้ จากตรงที่วิ่งเข้ามาที่ลานจอดนี้ คุณลองคิดถึงรูปหกเหลี่ยมแนวนอนได้เลยครับ นั่นแหละคือรูปแบบการจอดด้านในตัวโรงแรม รถสามารถจอดได้ทุกที่ มุมไหนก็ได้ที่มีที่ว่างพอสำหรับรถของคุณจะเข้าเสียบได้ พอวนไปได้ไม่ไกล (น่าจะอยู่ตรงข้ามกับทางเข้านะ) มีช่องทาง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นทางขึ้นหรือทางลง เพราะไม่ทันมอง มัวแต่มองหาที่ว่างที่จะจอด

ถ้าชั้นที่เข้ามายังไม่มีที่ว่างให้จอด ก็วิ่งเรื่อย ๆ แล้วจะวนลงไปที่ชั้นล่างอีกที สังเกตง่าย ๆว่า พอวนลงชั้นล่างไปได้ไม่ไกล คุณจะเห็นทางออกไป (ซึ่งถ้าออกไปก็ไกล้ ๆ กับทางที่เข้ามาเมื่อกี้นั่นแหละ) คุณจะออกไปจอดด้านนอกเลยก็ได้ หรือจะวนอีกรอบเพื่อหาที่จอดชั้นนี้ก็ได้ แล้วแต่สะดวกครับ

ส่วนเรื่องราคาค่าจอดรถที่นี่ บอกตรง ๆ ว่าส่วนใหญ่จะมากันเพราะบริษัทจัดสัมนา ฉะนั้นน่าจะรวมอยู่ในแพคเกจการใช้บริการของโรงแรมรวมเข้าไปแล้ว ( อันนี้คิดเอาเอง )

ตอนที่ขับรถเข้ามาหน้าประตู การ์ดที่หน้าประตูจะแจกการ์ดจอดรถให้ตรงทางเข้าครับ เสร็จแล้วคุณก็นำการ์ดที่ได้ไปแท็บกับจุดรับบัตรจอดรถที่เขามีให้ตามจุดต่าง ๆ และเพื่อความสะดวก เขาจะนำมาวางไกล้ ๆ กับจุดลงทะเบียนของงานนั่นเอง ลองมองหาดูนะครับ

อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำให้จอดด้านนอกดีกว่า สะดวกสบายกว่าใต้เยอะ ทั้งทางเดินรถหรือว่าเดินเท้าออกจากลานจอดรถเพื่อเข้าในโรงแรมครับ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ต้องพึ่งน้ำยาลบรอยเสียแล้ว

เช้านี้ พอจอดรถที่ทำงานเสร็จก็เลยควักเอาน้ำยาลบรอยข่วนที่อยู่ท้ายรถมาเปิดใช้เสียเลย จริง ๆ ซื้อไว้นานแล้วแต่ไม่โอกาศได้ใช้สักที คราวนี้ขอใช้ลองดูเลยดีกว่า อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร เห็นแต่เซลล์โฆษณาจังว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ และดูข้างกล่องก็บอกทำได้หลายอย่างดี ไม่กัดสีรถด้วย

พอดีในรถมีผ้าเช็ดรถอยู่ 2 - 3 ผืน เลยเทน้ำยาลงที่ผ้าแล้วก็เอามาถูๆ ตรงที่เป็นรอยนั่นแหละ .. ตอนแรกก็ลองส่วนปลายที่เป็นรอยก่อน เพราะเดี๋ยวถ้าไม่ได้จะเสียของ ค่อยขัดส่วนปลายมาเรื่อย ๆ เออ .. ดีอย่างที่ต้องการครับ ถูอยู่ 2 - 3 ทีก็ค่อยออกไปเรื่อย ๆ งั้นขอถูตรงที่เป็นรอยทั้งหมดไปเลย

ถ้าดีแบบนี้นะ เดี๋ยวผมจะนั่งขัดตรงที่เป็นรอยรถรอบคันไปเลย จะได้ไม่เห็นรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกต่อไป

อยากรู้ว่าผมใช้น้ำยาอะไร .. ??

เอาล่ะ มาดูว่าเป็นยี่ห้ออะไรกันครับ

พอดีผมเดินไปห้างแล้วเห็นเขามีจัดบูตโปรโมชั่นเลยแวะเข้าไปถามคนขาย พอเห็นว่าราคามันลดลงมาเยอะเลยอยากซื้อมาลองใช้บ้าง จริง ๆ ผมก็ไม่รู้หนรอกว่ายี่ห้อไหนดี ไม่ดีบ้างเพราะผมไม่ใช่เซียนรถที่จะต้องเช็คห้องเครื่องทุกอาทิตย์ เปิดกระโปรงรถเช็คน้ำหล่อเย็น เติมน้ำกลั่นให้แบตเตอร์รี่ทุกเดือน ประมาณนั้น วัน ๆ นั่งหน้าคอมพ์ทำงานไปทั้งวัน ตกเย็นมาก็กลับบ้านเท่านั้นเอง เวลาจะเช็คอะไร ผมวิ่งเข้าศูนย์อย่างเดียวครับ !!

ถ้ามี comment อะไรก็เชิญได้ครับ แต่บอกก่อนว่าอย่าคิดว่าผมโฆษณาขายของให้คนอื่นล่ะกัน เพราะผมเองก็เป็นผู้บริโภคที่ใช้สินค้าแล้วเห็นว่าดีจึงบอกต่อ .. :P คนอื่นๆ อาจจะคิดว่ามีสินค้าอีกหลายร้อยหลายพันตัวที่ทำหน้าที่เหมือนกันแต่ทำไมไม่เลือกใช้.. !!!



วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มีรอยข่วนบนชนหลัง


วันนี้ พอกลับถึงบ้านก็จอดรถเดินดูรอบคัน เจอที่สะดุดอยู่ท้ายรถ ตรงไกล้ ๆ กับประตูหลัง ส่วนบนของกันชนหลังว่ามีรอยข่วนอย่าง ผมว่ามันน่าจะยาวกว่าไม้บรรทัดสักอีกมั้ง เลยต้องมาคิดดูว่ามันมาจากไหนกันแน่ เพราะวันเสาร์เอารถเข้าศูนย์ฯ ก็ยังไม่มี เมื่อวานนี้ ก็จอดอยู่บ้านทั้งวัน และเมื่อเช้าก็ยังไม่เห็นเลย คิด ๆ ดูว่าวันนี้ตอนกลับบ้านก็ไม่เป็นว่ามีรถมาจอดไกล้ ๆ สักนิด ถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซต์คิดว่ารถคันนั้นต้องล้มแน่ ๆ เพราะมันเป็นเข้ามาจนถึงขอบล่างของประตูหลังเลย และไม่น่าจะมีแค่รอบเดียว แต่นี่มันมีแค่ที่เดียวเท่านั้น

ถ้ามีคนหมั่นไส้ แล้วเขาจะทำตอนไหนหรือ เพราะตอนกลางวัน ผมรถจะจอดรถไว้ที่บนตึกที่มียามคอยเฝ้าตลอด ไม่ใช่ลานจอดสาธารณะสักหน่อย ถ้าเป็นเช่นั้นก็คงเป็นคนในบริษัทแหละ แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เพราะผมก็ไม่ได้จอดรถกินเลน กินที่ใครนี่หว่า ถ้าเป็นตอนที่จอดซื้อกับข้าวที่ซอยอ่อนนุช 35 มันโล่งโจ้งขนาดนั้น และไม่ได้ทำอะไรให้ใครแถวนั้นหมั่นไส้เลย คิดแล้วมันยังงงจริง ๆ

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

วันนี้ ผมลองเอารถเข้ารับบริการที่ B-Quick สาทร เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพราะตามปกติก็จะเปลี่ยนที่ศูนย์พร้อม ๆ กับเช็คระยะไปด้วย แต่คราวนี้ อยากลองเปลี่ยนที่ทำเท่านั้นเอง เพราะเห็นว่าน้ำมันเครื่องลดราคาที่ 25% จากราคาป้าย อันนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าไปทำที่อื่นแล้วจะราคาเป็นอย่างไรบ้าง ต่างกันมาน้อยแค่ไหน

เอาล่ะ ลองมาดูครับว่าผมจ่ายค่าอะไรไปบ้าง ราคาตามบิลที่ออกมาเลยครับ

น้ำมันเครื่อง Mobil แบบสังเคราะห์ 5W-50 4ลิตร ราคาเติมที่ 2190 ลดลง 25% ก็ 1680 บาท
ผลิตภัณฑ์ fortron สำหรับทำความสะอาดเครื่องยนต์ 390 บาท
กรองน้ำมันเครื่อง 235 บาท
แหวนอ่างน้ำมัน 10 บาท
รวม 2315 บาท

ณ วันที่ผมเอารถเข้าศูนย์บริการนั้นเข็มไมล์อยู่ที่ 29228 แล้วครับ

ผมนั่งรออยู่ที่ที่นั่งหน้าห้องรองรับแทนที่จะเข้าไปนั่งรอในห้องรับรอง เพราะผมอยากดูว่าเขาจะยังไงบ้าง นับรวมแล้วก็ใช้เวลประมาณ 45 นาทีที่นั่งรอรถครับ ระหว่างที่รอก็มีรถวิ่งเข้า 1-2 คันครับ ก็ยังดีที่ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว

โดยรวมผมก็ว่าโออยู่นะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าตามปกติ ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจริงๆ เขาใช้เวลาเท่าไรเหมือนกัน ถ้าใครมีคำแนะนำอะไรก็ใส่เม้นต์ไว้นะครับ

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เสียวกับพี่แทกซี่ที่แยกคลองเตย

เช้ารถเยอะมาก คงเป็นเพราะว่าโรงเรียนเริ่มเปิดเรียนกันแล้ว กว่าจะหลุดจากซอยอ่อนนุชได้ก็ใช้เวลาเกือบ 20 นาที จากนั้นก็ขับมาเรื่อย ๆ จะมาเริ่มพัวพันกันอีกทีก็ตรงแยกตลาดคลองเตย ตอนแรกผมก็ขับตามรถเมล์ตรงเลนขวามานั่นแหละ เพราะไม่อยากออกซ้าย เพราะรู้ว่ารถเมล์จะต้องออกซ้ายส่งคนเหมือนเดิม พอรถเมล์ออกซ้ายเข้าส่งคนที่ป้าย ผมก็เลยขับตรงไปก่อน แต่ยังอยู่เลนเดิม

จากนั้น พอผมชะแว๊บเข้าซ้ายได้ก็ยังติดอีก เลยต้องรอเลนที่สองที่จะเลี้ยวขวา และก็เป็นไปตามที่คิดครับ ตำรวจเผอิญว่าเปิดไฟเขียวเฉพาะรถทางตรง ไม่ได้ให้ไฟเขียวสำหรับรถที่จะเลี้ยวขวา พอเป็นแบบนี้ รถที่จะตรงจะต้องเบี่ยงออกซ้ายให้ได้สิครับ

ผมเห็นรถเก๋งคันข้างหน้าจะเบียงออกแล้ว รถคันข้างหลังก็ยังอีกไกล ก็เลยชะแว๊บออกไป อืมมม.. ได้เรื่องครับ รถแทกซี่ที่โดนผมเบียดจะเข้าแกบีบแตรใส่เลย พร้อมๆ กับตีไปใส่อีก 2-3 ที ทำไงได้ละครับ พี่น้อง ถ้าไม่กล้าก็ไม่ได้ไปสักทีแน่ ๆ ฮ่า ฮ่า .. ขอโทษทีครับ :)

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวเมืองชล

ตอนแรกผมก็ตั้งใจแค่ว่าจะไปเยี่ยมแม่ของเพื่อนที่อยู่ตรงบางนา เสร็จแล้วก็กลับห้องที่อ่อนนุชเหมือนเดิม แต่เอาจริง ๆ ก็เลยไปถึงพัทยาจนได้ :)

ผมออกจากบางนาประมาณเที่ยง โดยขึ้น motorway ที่บางนา ก่อนถึงเซ็นทรัลบางนานั่นแหละครับ สายนี้ก็จะรับบัตรผ่านทางไปก่อน เสร็จแล้วค่อยไปจ่ายเงินตรงทางออกอีกที ทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ไม่ช้าตรงทางเข้า แต่จะช้าตรงทางออกแทน ;)

ผมใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะอย่างที่บอกแหละครับ รถติดตรงทางออก มิหนำซ้ำยังมีรถสีขาวคันหนึ่งมาจอดเสีย ตรงเลนกลางก่อนที่จะถึงตู้จ่ายตังค์ตอนออกเพียงอีกไม่กี่ร้อยเมตร เลยทำให้รถติดหนักเข้าไปอีก ผมว่าคนคงเซ็งกันสุด ๆ แหละ เพราะเขาจอดเลนกลางพอดีเลย ทำให้รถต้องเบี่ยงซ้ายขวากันตลอด ทำให้ถนน 3 เลนกลายเป็น 4 เลนไปโดยปริยายครับ

พอออกจาก motorway ผมก็ขับรถออกไปทางอ่างศิลา อ้ออมต่อไปจนถึงบางแสน ตอนแรกก็กะว่าจะไปเดินเล่นที่หาดบางแสน แต่พอไปถึงแล้วคนเยอะมาก และแดดเปรี้ยง ๆ ตอนบ่าย ๆ แบบนี้ เลยเปลี่ยนใจไปหาที่ร่มเย็นสบายดีกว่า จุดหมายข้างหน้าเลยเป็นอุทยานปลาฯ ที่ ม. บูรพาแทน อย่างน้อยเจ้าตัวเล็กจะได้สบายตัวไปสักหน่อย เพราะถ้าเผื่อเป็นไข้ไม่สบายก็ต้องลำบากกว่านี้อีก

ที่อุทยานฯ แห่งนี้มีพันธุ์ปลาที่หลากหลายดีเหมือนกันนะ ปลาทะเลสวย ๆ บางตู้ก็เป็นปลาตัวใหญ่ และก็มีปลาฉลามพันธุ์ดุมาให้ชมด้วย แม้ว่าจะมองไม่ค่อยเห็นก็ตาม อย่างไรก็ตาม ผมว่าระยะทางมันสั้นไปนิดหนึ่ง ยังรู้สึกไม่คุ้มค่าเข้าชมที่จ่ายไป 30 บาทเลย ถ้าคนที่เก็บรายละเอียดหน่อยก็อาจจะนับจำนวนตู้ปลาไว้เลยแหละ สรุปว่าแพงไปสำหรับค่าเข้าชม ถ้าถูกกว่านี้หน่อยก็จะดีมาก ๆ

พอหมดจากตู้ปลา เราก็เดินขึ้นไปต่อที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นพวกสัตว์ที่ทำสตาร์ฟไว้และก็มีพวกเปลือกหอยต่างๆ ประมาณ 3-4 ตู้โชว์ มีตู้ที่โชว์เต่าตัวโต ๆ ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นปูนปั้นมากกว่ามั้ง แต่ก็ทำตู้กระจกกั้นไว้อย่างดี ไม่แน่ใจว่าเป็นเต่าจริง ๆ หรือว่าหลอก ๆ กันแน่ รวมไปถึงปลาวาฬหรือปลาอะไรก็ไม่รู้ ตัวใหญ่ดีนะ :)

เสร็จะจากนั้นก็นั่งพักกันไกล้ ๆ กับโครงกระดูกปลาวาฬที่ชั้นล่าง ตรงทางจะออกไปข้างนอกนั่นแหละ สักบ่าย 3 โมง เราก็ออกจาก ม.บูรพา ไปเดินเล่นที่คาร์ฟูร์ ศรีราชา เพราะมีเพื่อนทำงานที่นั่น ก็คงแวะไปเยี่ยมเขาหน่อย เผื่อหาอะไรใส่ท้องไปด้วย

พอไปถึงคาร์ฟูร์ก็โทรหาเพื่อน คุยกันอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง แล้วก็แยกจากกัน เพื่อนเข้าก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม ส่วนเราก็ไปนั่งทาน Chester's Grill ที่คาร์ฟูร์เลยแแบบประมาณว่าขี้เกียจออกไปข้างนอกแล้ว

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ได้เวลาเปลี่ยนแบตเตอรรี่แล้ว

ต่อเนื่องจากเมื่อเย็นวานนี้ ที่ผมมีปัญหาเรื่องแบตเตอร์รี่ พอตื่นเช้ามา 8 โมงกว่า ผมก็ลองสตาร์ทรถอีกที อ้าว คราวนี้ได้นี่หว่า .. ดีจังไม่ต้องเรียกหาใครมาช่วยเข็นอีกแล้ว งั้นเราขับไปที่อู่ให้เขาเปลี่ยนเลยดีกว่า ไม่งั้นจะลำบากถ้าเกิดอาการอย่างเมื่อวานนี้อีกครั้ง

พอไปถึงอู่รถก็ถาม คนเมื่อวานนี้แหละว่าเปลี่ยนแบตเท่าไหร่ เขาก็เดินเข้าไปห้อง office เล็ก แป๊บหนึ่งก็กลับออกมาบอกว่า ราคา 1900 บาท .. เอ้ย ทำไมเมื่อวานบอกอีกราคาหนึ่ง มันไกลกันมาเลยนะ เขาก็บอกว่าเมื่อวานนี้ บอกราคาเก่าไปครับ อ้าว ซวยเลยตรู เอาไงดีล่ะ ดับเครื่องแล้ว ไหนจะต้องไปซื้อกับข้าวตอนเช้าด้วย

ผมก็ถามนะว่าลดไม่ได้แล้วเหรอ เพราะมันแพงไปมั้ง ดูท่าแล้วยังไงแกคงไม่ยอมแน่ ๆ ซ้ำยังบอกอีกว่าให้เราไปหาที่เปลี่ยนที่อื่นก็ได้ แต่ก็ราคานี้แหละ ไม่ต่างกันหรอก เอาว่ะ ไม่อยากเสียเวลากว่านี้ ถ้าจะวิ่งไปเปลี่ยนที่อื่น ก็ไม่รู้จะไปไหนดี

สุดท้าย เอ้า เปลี่ยนก็เปลี่ยน อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง เนี่ย.. ถ้ามีเวลานั่งหาข้อมูลในเนตอีกหน่อยก็คงจะไม่เอาแหละ

ผมเลยถามว่าใช้เวลานานแค่ไหนในการเปลี่ยน ช่างเขาก็บอกว่าแค่ 30 นาทีครับ แล้วเขาก้เดินกลับหาลูกน้องให้ขับมอไซต์ไปเอาแบตอีกร้านหนึ่งมั้ง ระหว่างนั้นก็มีช่างอีกคนมาถอดแบตที่รถออกแล้ววางไว้ข้างล่างตรงหน้ารถแหละ ผมเลยยืนรอ เดินรอ นั่งรอ แถวรถนั่นแหละครับ

ประมาณชั่วโมงกว่าได้แหละมั้ง ช่างสองคนที่ขับมอไซต์ออกไปก็กลับมาพร้อมกับกล่องแบตเตอร์รี่ ซึ่งเป็นยี่ห้อ GS battery ผมสังเกตว่ากล่องแบตมันจะถูกเปิดไว้แล้วนะ แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรมากหรอก จะคอยดูที่ก้อนแบตก่อนว่ามันใหม่จริงมั้ย จากนั้นเขาก็อุ้มแบตก้อนนั้นเขาไปในห้อง ได้ยินเสียงคุยกันว่าเอาแบตเข้าไปชาร์จก่อนใช้งานอ่ะ

ไม่นานเขาก็อุ้มแบตออกมาจากห้องนั้น จัดการวางช่องแบตที่ห้องเครื่อง พอทำไปจนเกือบเสร็จดีแล้ว ผมก็สังเกตว่าตอนแรกมันมองไม่เห็นยี่ห้อแบตตอนใส่แล้วนี่หว่า ทำไมตอนนี้ มันเห็นยี่ห้อได้ อ้าว.. ก็ตัวครอบที่ถอดออกมา ทำไมไม่เอาใส่เข้าไปด้วย เพราะมันยังวางอยู่ข้างแบตก้อนเก่าเหมือนเดิมล่ะครับ แล้วช่างก็เดินไปหาเพื่อนเขาที่ถอดแบตออกเมื่อกี้ตรงหน้าห้องที่ชาร์จแบต ผมก็ไม่รู้เขาไปคุยอะไรกัน แล้วเขาก็เดินกลับมาทำต่อ เออ .. แล้วเดินไปทำไม

จากที่เริ่มรอจนตอนนี้ มันจะเข้าชั่วโมงที่สองแล้วนะ จำได้ว่าเขาบอกตอนแรกแค่ 30 นาทีเองก็เสร็จ เหมือนจะโดนหลอกครั้งที่สองแล้วครับพี่น้อง นี่ถ้ายังไม่ถอดแบตที่รถผมออกนะ ผมจะบอกยกเลิกไปแล้วขับออกไปบอกว่าจะไปทำที่อู่อื่นแทนแล้วแหละ

ลืมบอกไปว่าอู่ที่ผมเข้าไปชื่อ ATS Service เข้าไปไนซอยอ่อนนุช 37 ประมาณ 100 เมตร ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นศูนย์บริการของฮอนด้าเองด้วย เพราะขึ้นป้ายซะใหญ่โตเลยแต่ไม่รู้เหมือกันว่าฮอนด้าสาขาไหนมาใช้บริการที่นี่

ผมใช้เวลาในการรอที่เปลี่ยนแบตที่อู่ไปประมาณ 2 ชั่วโมง บอกตามตรงว่าผมไม่ประทับใจกับการบริการเลยสักกะนิด ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามา เหมือนเขาไม่ใส่ใจกับลูกค้าสักกะนิดเลย ถ้าลูกค้าไม่ถามก็จะไม่ตอบ ไม่อธิบายอะไรกว่าคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่ผมถามกับช่างที่ถอดแบตตอนแรกว่า แบตก้อนหนึ่งราคาเท่าไหร่ แกตอบว่าไม่รู้ โดยไม่ขยายหรือแนะนำอะไรอีกเลย ถ้าเป็นคุณแล้วคุณจะเชื่อกับคำตอบที่ได้มั้ยครับ เขาเป็นช่างแล้วจะไม่รู้ราคาแบตสักก้อน !!! สรุปว่า คราวหน้า ผมคงไม่ใช้บริการที่นี่อีกแล้วไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตามครับ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

งานเข้าแล้วครับพี่น้อง

เหตุเกิดเมื่อตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมก็แวะจอด.ื้อกับข้าวตอนเย็นที่ร้านหน้าปากซอยประจำนั่นแหละ พอซื้อกับข้าวเสร็จจะสตาร์ทรถกลับเข้าบ้าน อ้าว สตาร์ทไม่ติดอะ่ดิครับ มองซ้ายที มองขวาที เลยไม่รู้จะเอาดี ลองสตาร์ทอีกสัก 2-3 ที พร้อม ๆ กับโทรไปหาศูนย์ที่เข้าประจำแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับสักกะที โทรอยู่หลายที มองดูแบตมือถือ.. อ้าว.. จะหมดเหมือนกัน เออ.. ให้มันได้ยังงี้สิ งั้นไม่โทรมันแล้ว หาคนช่วยเลยดีกว่า

ผมเลยเดินไปหาอู่ที่อยู่ไกล้ ๆ นั่นแหละ บอกน้องที่ใส่เสื้อของอู่นั่นแหละว่ารถสตาร์ทไม่ติด น้องเขาก็ขอกุญแจบอกรถพี่อยู่ไหน ระหว่างที่เิดินไปเขาก็ถามอาการไป เราก็บอกพอบิดไปที่สตาร์ทเมื่อไหรก็มีแต่เสียงตึด ๆ นิดหนึ่งแล้วก็ดับไป

แล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปออกมาอีกที มีมาเลื่อนรถอะไรนิดหน่อยที่จอดขวางอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็ขับปิกอัพออกมา จอดหน้ารถเรา อ๋อ.. แบบนี้ก็จ้ำแบตสิครับ

จากนั้นก็ไม่มีอะไรหรอก รถก็สตาร์ทติดเหมือนเดิม ลอง ๆ ถามว่าถ้าจะเปลี่ยนแบตจะตกก้อนละเท่าไร เขาก็บอกว่าประมาณ 1600 - 1700 บาท ผมเลยบอกไปว่างั้นเดี๋ยวพรุ่งอาจจะเข้ามาเปลี่ยนที่อู่นะครับ

แล้วผมก็ขับรถกลับหอพัก ตกลงว่าเสียเวลาไปแค่ไม่กี่นาที แต่พรุ่งนี้คงเสียตัวค์เยอะแน่ ๆ :)

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เกือบไปแล้วเมื่อเย็นนี้

เหตุเกิดช่วงซอยอ่อนนุช 20 กว่า ๆ แถวตลาดนัดยามเย็น แต่วันนี้ไม่มีตลาดนัดหรอกครับ พอผมเห็นว่ามีรถจะเลี้ยวขวา และทางซ้ายรถว่าง ก็เลยตีไฟจะออกซ้ายแซงไปแต่ไม่รู้ว่ารถคันสีน้ำเงินเข้มพุ่งมาจากไหน หรือว่าแกขับประชิดมาก่อนหน้าก็ไม่รู้ เพราะผมมองไม่เห็นเลยจริง ๆ พอมองเห็นก็ประชิดข้าง ๆ ลำตัวรถ แบบว่าจะชนกันเสียแล้ว ดีว่าผมไม่ได้ออกตัวไปแรงมากเลยหักกลับเข้ามาได้

พอเขาขับผ่านผมไปแล้วพี่แกก็ซิ่งต่ออีกรอบโดยไม่ได้สนใจอะไรอีกเลย เหมือนประมาณว่า "ซวยต้องรีบหนี ดีนะที่ไม่ชน" ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ผมก็แอบรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ออกไปเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่รู้จริง ๆ ว่ามาเมื่อไหร่ มองไปข้างหลังมันยังว่างนี่นา แต่รถสองแถวที่ตามมาก็น่าจะให้คำตอบได้ว่าใครผิดใครถูก เพราะตอนที่ผมเบรคจะชนกับคันนั้น ผมเห็นแกตีไฟมาพอดี ประมาณว่าเตือน ๆ ว่าให้ระวัง แต่มันก็สายเสียแล้วเพราะกำลังจะชนอยู่แล้ว หรือแค่เรียกผู้โดยสารก็ไม่ทราบได้

ผมว่าเหตุการณ์นี้เป็นการขับมาประชิดมากที่สุดตั้งแต่ขับรถก็น่าจะเป็นได้ แต่ก็เอาล่ะ เมื่อไม่มีเกิดขึ้นก็ดีแล้ว ทีหลังขับรถก็ให้ระวังหน่อยล่ะกัน :)

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

เย็นนี้ที่ซอยอ่อนนุช 35

เย็นวันนี้ แวะเข้าซอยอ่อนนุช 35 เพื่อไปซื้อกับข้าวสักหน่อย พอผมซื้อกับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขับลัดเข้าซอยทะลุระหว่างซอย 35 กับ 37 พอแล้วซ้ายเข้ามาก็เผอิญว่ามีปิคอัพคันหนึ่งจะเข้าซอยด้วย ผมก็ทำท่าชะลอเพราะดูก่อนว่าเข้าได้เปล่า อ่ะ.. เข้าได้แหละ งั้นเราชิ่งเข้าไปก่อนดีกว่า

พอผมหักเข้าซ้ายไปได้นิดหนึ่งแล้วมองไปทางซ้ายปุ๊บ อ้าว มีรถปิคอัพสวนออกมาอีกคันหนึ่ง ตอนนี้รถของผมก็เข้าได้ประมาร 10 เมตรแหละมั้ง รถคันที่ตามก็ประชิดซะด้วย เอาไงละทีเนี้ย ผมก็นิ่งเพราะถอยไม่ได้แล้ว พอเหลือบมองที่กระจกหลัง อ้าว รถปิคอัพที่ตามมาแกปีนขึ้นไหล่ทางไปแล้ว แต่หารู้ไม่ ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย เพราะผมก็ถอยได้เลย เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน ถ้าไม่ถอยอั๊วะก็จะอยู่อย่างนี้ ถึงแม้ว่าผมเป็นฝ่ายต้องถอยก็ต้องถอยกันสองคันและที่สำคัญต้องถอยไปตัดเลนในซอย 35 ยิ่งจะให้ลำบากกว่าอีกเยอะ เสียเวลากันอีกหลายคันหลายฝ่าย แต่ว่ารถคันที่สวนมาแกมีพื้นถอยได้แล้วชะแว๊บเข้าหน้าบ้านตรงที่ว่าง ๆ ได้ บวกกับเขามาคันเดียวแต่เราเข้ามาแล้วสองคัน :)

ตกลงว่าพี่แกที่สวนมาก็ยอมถอยไปนิดหนึ่งแล้วชะแว๊บเข้าเทียบจอดหน้าบ้านตรงที่ว่างได้พอดี ผมเลยค่อยผ่านไป แต่สังเกตว่าเจ้าปิคอัพที่วิ่งตามแกบึ่งตามมาจังเลยแหละ ไม่รู้จะรีบไปไหน พอเมื่อกี้ทำเป็นหลบ ไม่ยอมช่วย พอเห็นเขาเปิดทางให้ รีบบึ่งมาประมาณว่ากลัวจะไม่ได้ไปยังงั้นแหละ

เอาเป็นว่าผมก็ขอบคุณพี่ปิคอัพที่วิ่งสวนมาที่ยอมถอยให้ครับ :):)

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

รอยที่สะเกิร์ตข้างขวา

จริง ๆ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนไหนกันแน่ แต่ผมเห็นตอนเย็นวันที่ 19

ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเกิดตรงไฟแดงกล้วยน้ำไท ตอนที่มอเตอร์ไซต์วิ่งเข้ามาเยอะ ๆ เพราะรถจอดชิดกันมากแต่มอไซต์ยัง

ดันทุรังจะไป ผมก็ไม่รู้จะทำไงดีเหมือนกัน เรามาจอดกลางถนน แล้วก็มันเป็นไฟแดงไปแล้ว ผมเลยฉีกออกซ้ายไปนิดหนึ่ง

ยังดีว่า ผมเว้นช่องข้างหน้าไว้พอที่จะฉีกออกไป เสร็จแล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ เข้าซอยสุขุมวิท 42 เหมือนเดิม

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อรถตกน้ำ

ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปใน น้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ แต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้  

ควรตั้งสติให้ดี และ ป ฏิ บัติดังต่อไปนี้
1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5.  หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน! ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6.  เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออ! กจากห้องโดยสารของ รถได้
7.  จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ ในกรณีนี้หาก น้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ

กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มี อาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถ   หากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบ เด็กๆ นั้น ออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติ ตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่าน ปลอดภัยได้ ในยามคับขัน อยากให้ ทุกคน ส่งต่อไปให้เพื่อนๆ และคนรู้จักให้มากๆเลยนะ เป็นการช่วยเหลือกัน หากเกิดอุบั! ติเหตุเช่นนี้ขึ้นมา การมีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมยานยนต์ และการปฏิบัติตนในขณะเกิดอุบัติ เหตุเช่นนี้ สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน ถ้าจะให้ดี พริ้นเก็บไว้ในรถของทุกคนเลยก็ดีนะจะได้เอาไว้อ่าน ทบทวนกันได้

เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่

จะทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่

มีประโยชน์มาก และช่วยกันส่งต่อด้วยนะ ขับรถให้ปลอดภัย

กรณีที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะ! นำให้ปฏิบัติดังนี้
1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน
5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8.  เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ   ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้าย   รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนอง ตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะ กลับเป็นตรงกันข้ามอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ   พอยางระเบิด ขึ้นมารถ! ก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้

ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว (ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100   กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อต้องเปลี่ยนเส้นทางไปทำงาน

เช้านี้ เพื่อนที่ทำงานโทรมาบอกตอนที่กำลังจะออกจากบ้านพอดีว่าม็อบเสื้อแดงปิดถนนตรงซอยสุขุมวิท 71 ผมเลยต้องหนีไปขึ้นทางด่วนสุขุมวิท 62 แต่แล้วก็มองหาทางเข้าทางด่วนไม่เจอ งั้นเลยไปขึ้นที่แยกบางนาเลยก็ได้ เจอป้ายขึ้นทางด่วนเหมือนกัน ไม่ชัวร์ว่ามันเลี้ยวขวาเข้าตรงไหนกันแน่ เพราะตามปกติก็จะมีรถรอคิวเลี้ยวขวาเพื่อชะลอได้ เผอิญว่าวันนี้ถนนโล่งผิดปกติ เลยไม่แน่ใจ สุดท้ายทำได้แค่เลยปลงว่าเลยมาแล้วนะ

พอถึงแยกบางนาก็เลี้ยวขวาเข้าสรรพาวุธ แต่ไม่ยักกะรู้ว่าจะมีทางเลี้ยวเข้าทางด่วนใกล้แยกได้จึงต้องเลยไปอีกรอบ พอตีรถกลับบมาดันเลี้ยวซ้ายที่ซอยก่อนถึงทางด่วนอีกครั้ง !!! เข้าไปในซอยนั้นไม่ถึงก็ต้องรีบกลับรถออกมา จริง ๆ ซอยนี้น่าจะไปทะลุที่ซอยสุขุมวิท 50 แต่ถนนมันแฉะมาก น้ำขังเกือบบตลอดเลยต้องกลับออกมาดีกว่า

พอเลี้ยวซ้ายออกมาจากซอยก็เข้าอีกซอย เพื่อขึ้นทางด่วน จะได้ไม่เสียเวลามากกว่านี้ รถเยอะมากเหมือนกัน เขาคงหนีๆ กันขึ้นมาให้หมดแหละ บอกตามตรงว่าขาเข้าเมืองไม่เคยเลยเส้นนี้ กะว่าจะเอาพระราม 4 กับคลองเตยเป็นหลักแต่ไม่ยักกะเห็นป้ายบอกทางเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นดาวคะนองกับแจ้งวัฒนะ ก็อัะจะไปพระราม 4 อ่ะ หาทางลำบากมากจริง ๆ

พอถึงช่วงพระราม 4 แหละมั้ง เจอป้ายเล็ก ๆ สีขาวข้างทาง บอกว่าพระราม 4 ให้ไปกลับรถที่สาธุประดิษฐ์ เออ .. ฟังดูมันไกล ๆ ยังไงไม่รู้สิ ลองไปหาที่อื่นดีกว่า ผมก็วิ่งไปเรื่อยจนเจอทางลงพระราม 3 เอาวะ ลงมันตรงนี้แหละ ถ้าจะต้องหลงทางอีกครั้งก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

พอลงจากทางด่วนมาก็เจอป้ายบอกว่าเลี้ยวเข้าสวนพลูกับถนนจันทร์ เอาละสิ ผมเลี้ยวซ้ายออกจากทางด่วนแบบชิดซ้ายมาตลอด เจอป้ายแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน รู้แต่ว่าจะต้องไปหาที่กลับรถมาเข้าซอยให้ได้ซะแล้ว

จากนั้นผมตีไฟเข้าขวาเพื่อหาทางกลับรถ อ้าว เจอไฟเลี้ยวขวาข้างหน้า แหยม ๆ ดูว่าจะมีกลับรถด้วยหรือเปล่า หว้า... มันกลับรถไม่ได้อ่ะ ซวยอีกรอบ งั้นเลี้ยวเข้าซอยไปก่อนดีกว่าแล้วกลับออกมา ยังไม่ไกลมาก ยังโอหน่า...

พอวิ่งเข้าไปได้ไม่ไกลมาก ผมเห็นข้างหน้าว่าง ข้างหลังว่างก็หาทางกลับรถออกมาใหม่ พอเลี้ยวซ้ายตรงปากซอยที่เข้าไปเมื่อกี้ไปได้นิดหนึ่งก็รู้สึกว่าคุ้น ๆ แน่นอน นี่มันตรงที่เราวิ่งทะลุสวนพลูมาขึ้นทางด่วนนั่นเอง !!!


วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

หลงทางไปถึงพระราม 3

หลังเลิกงานเย็นนี้ ผมมีนัดเพื่อนๆ ที่ทำงานเพื่อจะไปเลี้ยงส่งหัวหน้าสักหน่อย แรก ๆ ก็คุย ๆ กันว่าจะไปที่ไหนดี ร้านอาหารแบบไทย ๆ ก็ไปบ่อยแล้ว คงเลือกเป็นสไตล์ญี่ปุ่นหรือไม่ก็เกาหลีไปเลยเพราะกำลังอินเทรนด์ เสร็จแล้วก็ให้โหวต ๆ สรุปว่ามี 2 ร้านให้เลือกว่าจะไปร้าน akiyoshi ที่สุขุมวิทกับร้าน Coffee Bean ที่ซอยร่วมฤดี แต่เอาเข้าจริง ๆ เปลี่ยนแปลนไปที่ร้าน Hachi ที่ถนนนราธิวาสแทน เป็นงั้นไป!!
ปัญหามันเริ่มต้นตอนที่ออกจากร้าน Hachi ผมก็คิดว่าเดี๋ยวออกจากร้านวิ่งตรงไปก่อน เสร็จแล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าทางรัชดา-พระราม 4 แต่พอขับไปได้สักพัก ก็ออกอาการเอ๋อ ๆ ว่า ตอนนี้ เราอยู่ไหนแล้ว... จนวิ่งผ่านหน้าโรงเบียร์เยอรมัน ก็แว๊บ ๆ ว่าน่าจะเลยแล้วล่ะ พยายามมองหาป้ายพระราม 4 บ้าง ป้ายคลองเตยบ้าง จำได้ว่ามันมีช่วงหนึ่งที่ต้นไม้บังป้ายบอกไปทางพระราม 4 แต่เราก็เลยขึ้นสะพานไปแล้ว ก็ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน พอลงสะพานก็ยิ่งไปไกลเรื่อย ๆ ลองมองไปข้างทางเจอป้ายกรุงเทพอะไรสักอย่าง มีธนาคารกรุงศรีอยุธยามั้ง (ป้ายสีเหลือง ๆ อ่ะ) มองดูที่ป้ายบอกทางอีกที ก็พบว่าป้ายบอกไปวงแหวนอุตสาหกรรมกับสาธุประดิษฐ์ กรรมจริง ๆ หลงทางซะแล้ว ต้องหาทางกลับรถให้ด่วนที่สุด!!

พอกลับรถได้ก็เจอป้ายบอกทางไปคลองเตย จากนั้นก็ขับตามป้ายบอกทางไปคลองเตยอย่างเดียว จะหลงอีกทีก็ให้มันรู้ไป ขึ้นสะพานอะไรก็ไม่รู้ยาว ๆ 2-3 ครั้ง จนมาสะพานสุดท้าย เออ.. ซ้ายมือเป็นตลาดหุ้น มองลงไปข้างล่างก็ถึงบางอ้อว่า นี่มันสะพานข้ามพระราม 4 นี่หว่า เลยต้องไปกลับรถก่อนถึงสุขุมวิทเหมือนเดิม

สรุปว่าผมออกจากร้านประมาณ 3 ทุ่มนิดแต่กว่าจะถึงบ้านก็ 4 กว่า ๆ น่าจะเกือบ 5 ทุ่มเพราะหลงทางน้านแหละ ถ้ารู้ทางจริง ๆ คงใช้เวลาสัก 30 นาทีน่าจะถึงบ้านได้ แต่เอาเฮอะ ไว้คราวหน้าก็ดู ๆ หน่อยล่ะกัน

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าถนนนราธิวาสไปทางพระราม 3 นั้นมันดูสับสนยังไงไม่รู้สิ ขนาดดูแผนที่ยังงงงงว่าจะไปทางไหนดี ถนนหนทางมันวกวน สะพานข้ามแปลก ๆ ถ้าเป็นคนในพื้นที่ก็คงเฉย ๆ แหละนะ จริงมั้ยครับ

คิดไปคิดมา ผมเริ่มอยากได้เจ้า gps สักตัวมาติดรถไว้แล้ว เผื่อเวลาไปไหนจะได้ช่วยได้บ้าง อย่างน้อยก็บอกให้เราเตรียมซ้ายเลี้ยวขวา ตามเส้นใหญ่ ๆ ได้ก็ยังดี กว่าหลงทางไปไกล ๆ แล้ววนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกรอบ เปลืองน้ำมันอ่ะ



วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

จอดรถที่ท่าข้ามเกาะเกร็ด

ผมมีโอกาศไปไปเที่ยวเกาะเกร็ดอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเหมารถตู้ไปกัน ก็ง่ายและสะดวกตรงที่ไม่ต้องหาที่จอดเองให้ลำบาก พอรถตู้ส่งพวกเราลงที่ปากทางเข้าวัดสนามเหนือ (ใกล้ ๆ กับวัดบ่อ) แล้วก็เดินไปที่ท่าเรือได้เลย คนขับรถตู้ก็เอาไปหาที่จอดเอาเอง :)

เรื่องการจอดรถที่นี่ ก็คงแล้วแต่ดวงจริง ๆ โดยเฉพาะที่วัดสนามเหนือเพราะรถเยอะมาก อาจจะต้องวนหาที่จอดหลายรอบ ถ้าจะรอเข้าจอดในซอง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าจอดซ้อนคันเด็ดขาดเพราะไม่มีคนดูแล (หรืออาจะมีแต่ผมไม่เห็น) คนที่เขาอยากออก เขาก็จะเข็นรถของคุณไปแปะไว้ที่ท้ายรถคันอื่นใกล้ได้ ถ้าแค่แปะจริงๆ ก็ถือว่าคุณยังโชคดี อย่างมากป้ายทะเบียนมีรอบปริหรือแตกนิดหน่อย แต่ถ้าเข็นไปแล้วรถของคุณตกลงที่เป็นหลุมพอดีหรือเขาแรงดีไปหน่อย ก็จะเหมือนรถของคุณวิ่งไปชนกันดี ๆ นี่เอง

อีกทางเลือกหนึ่ง ถ้าคุณไปถึงที่นั่นสายหรือหลังเที่ยงแล้ว ผมแนะนำให้ไปจอดที่วัดบ่อใกล้ ๆ กับวัดสนามเหนือ สามารถเดินมาได้ ผมว่าที่นี่จะว่างกว่าวัดสนามเหนือซะด้วยซ้ำ เพราะคนกลัวว่าจะเดินไกล ผมก็ไปจอดที่วัดนี้แหละเมื่อครั้งแรกๆ ที่ขับรถไปเกาะเกร็ดกับเพื่อน ๆ

โดยส่วนตัวผมจะไม่จอดซ้อนคัน แม้จะมียามคอยดูแลก็ตาม เพราะเขาไม่ได้ห่วงหรือดูแลรถเหมือนที่เราที่เป็นเจ้าของ บางทีเขาจะทำแบบมักง่ายกว่าที่เราคิดซะอีกด้วยการเรียกเพื่อน(ยาม)มาช่วยเข็น แต่ไม่ได้เข็นทีละคัน เขาจะเข็นทีละ 2-3 คันเลยก็มี ก็ไม่รู้จะเรียกว่าบ้าหรือโง่ดี คิดได้ไงเข็นรถทีละสองคัน :(


วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

เช้านี้เซ็งจริง ๆ

เช้านี้ ผมขับรถแบบเครียด ๆ ยังไงไม่รู้สิ เจอรถมอไซต์ตัดหน้าจะเข้าปั้มตั้งแต่ออกจากปากซอยหน้าบ้านแล้ว ผมก็คอยระวังรถที่วิ่งสวนมา เพราะต้องตัดข้ามเลน แต่มอไซต์ที่วิ่งอยู่ซ้ายสุดโน้นตัดเข้ามาดื้อ ๆ เห็นแล้วหมั่นไส้จริง ๆ ดีที่ไม่ได้ออกตัวแรงและรถทางซ้ายก็ไม่มี เลยหลบไปทางซ้ายได้ ไม่งั้นมีเฮงแต่เช้าแน่ ๆ

ต่อมามีอีกที่หนึ่ง พอเลี้ยวจากอ่อนนุชเข้าสุขุมวิท ผมก็วิ่งเลนกลางมาเรื่อย ๆ แต่พอช่วงทางขึ้นสะพานพระโขนง ก็รถปิกอัพคันหนึ่งที่ขนคนงานของกนกเฟอร์นิเจอร์นั่นแหละ แต่มีคนบนรถไม่กี่คนเอง ตัดหน้าเข้ามาที่เลนกลาง ทั้ง ๆ ที่ข้างหน้าเขาก็โล่ง ๆ ผมไม่กดแตรหรอก แต่กดคันเร่งออกขวาแล้วแซงขึ้นหน้าเขาแล้วก็เข้าเลนกลางอีกครั้ง แต่ไม่ได้ไกล้มากแบบที่เขาทำหรอก ผมเสียดายถ้ารถผมต้องเจ็บตัวครับ และก่อนแซงผมก็กะระยะว่าไกลที่จะแซงกันได้ทั่วไปและตีไฟกระพริบเข้าซ้ายตามปกติ

ผมขอสรุปแแบนี้ละกัน ถ้าคุณไม่จำเป็นต้องจอดซ้ายทันทีทันได ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะกำลังอยู่บนสะพาน และอีกอย่างข้างหน้าขอคุณยังว่าง แนะนำให้ขับขึ้นหน้าไปก่อนแล้วค่อยตีไฟเข้าซ้าย ไม่จำเป็นต้องตัดหน้าคนอื่นเพื่อจะเข้าซ้ายให้ได้ เพราะจะทำให้คนที่คุณตัดหน้าเข้ามาเกิดการเสียความรู้สึกได้ ที่นำมาซึ่งอารมณ์โมโหและโกรธ ผลที่ตามจะเสียหายกันทั้งสองฝ่ายและเสียเวลามากกว่าที่คุณจะยอมวิ่งเรื่อย ๆ แล้วค่อยตีไฟเปลี่ยนเลน ถ้าช่วงจังหวะและระยะห่างดีพอ เขาก็คงยอมให้คุณเข้าเลนได้ง่าย ๆ จริงมั้ย ?!?!

ยังครับ มันยังไม่จบ.. ช่วงพระราม 4 แถวหน้า รพ. เทพธารินทร์ มีมอไซต์คันหนึ่งวิ่งเลนขวาสุด แกก็มาช้า ๆ เอื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าจะตามหรือเปล่า พอบีบแตรใส่ก็หลบไปขวางรถที่จะแซงซ้ายของผมอีก ผมว่าเขาไม่ดูกระจกข้างเลยนะ ไม่สนใจว่ามีรถใหญ่ตามมาหรือเปล่า อั๊วะจะไปแบบนี้ มีปัญหาไรมั้ย :(

อีกที่หนึ่งสำหรับเช้านี้ ที่แยกไทย-เบลเยี่ยม ผมก็เลี้ยวซ้ายเข้าสาทรแต่พอไปได้เลยทางม้าลายนิดหนึ่งก็ต้องชะงัก เพราะมีรถคันหนึ่งมาจ่อจะเข้าซ้ายแบบไกล้ ๆ เอ้ยย มาเมื่อไร ให้ผมเข้าไปเลยก่อนไม่ได้เหรอ กดแตรไปทีหนึ่ง

รวม ๆ เช้ากดแตรไปหลายครั้งมาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณสัก 5 ครั้งนะ บ้าจริง ๆ ขับรถกันแบบนี้

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

รอยข่วนที่สะเกิร์ตใต้ประตูหลัง

เย็นนี้ จำเป็นต้องจอดรถข้างนอก เพราะยังไม่มีรถเอาไว้ซ้อนสักคัน ไม่งั้นตอนเช้าก็ต้องเข็นกันเหมือนเดิม ประมาณว่าขี้เกียจอ่ะ เลยถือโอกาศสำรวจรอบคันเสียหน่อย

เริ่มจากด้านหน้าก่อน เสร็จแล้วก็วนมาทางคนขับ แล้วไปข้างหลังรถ จากนั้นก็วนดูทางซ้าย .. แหง่มมม เจออะไรเข้าอีกแล้ว เป็นขีดที่สะเกิร์ตใต้ประตูหลัง ผมการันตีบบไม่ต้องสงสัยอะไรเลย รถมอไซต์เป็นตัวการแน่ ๆ เพราะเป็นรอยไม่ยาว ไม่ลึกมาก ที่สำคัญถ้าข่วนกับขอบถนนหรือกระถางต้นไม้ มันต้องใหญ่กว่านี้แน่นอน

ก็อย่างที่เคยบอกไว้นานแล้วล่ะ ก่อนที่ผมจะเคลมประกันรอบแรก หรือปีแรกอ่ะ หลังจากนั้นก็พยายามขับแบบระมัดระวังมาตลอด คือไม่ไปเบียดกับมอไซต์ ไม่จอดให้กระจกด้านข้างตรงกับคันข้าง ๆ ไม่จอดชิดคันหน้าหรือคันที่อยู่ข้างหลัง และอีกสาระพัดที่จะทำให้รถไม่มีรอยขีดรอยข่วน

แต่เอาเฮอะ บางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกนี้คงไม่มีอะไรที่เปอณืเฟค เริ่ดหรูไปได้ทุกอย่าง จริงมั้ยครับ?!?!

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันนี้กรุงเทพฯ มีฝนตก

วันนี้ ตอนกำลังอาบน้ำ ได้ยินเสียงฟ้าเหมือนว่าฝนคงจะตกอีกไม่นานนี้ พออาบน้ำเสร็จกำลังแต่งตัวจะไปทำงาน ก็ได้ยินเสียงเปาะแปะ ๆ ที่ลูกกรงหลังห้อง เลยออกไปเก็บผ้าที่ตากไว้ แล้วไม่นานสายฝนก็เทกระหน่ำลงมา แม้จะไม่หนักมากแต่ก็หนักพอจะทำให้การเดินทางไปทำงานเช้านี้ ไม่สะดวกราบรื่นเหมือนทุกวัน

พอเลี้ยวขวาออกจากปากซอยก็สังเกตว่าที่พื้นถนนจะมีฟองขาว ๆ เหมือนกับที่เวลาซักผ้าแล้วเทน้ำผงซักฟอกลงไป ช่วงคอสะพานแต่ละที่ก็จะมีน้ำขังพอประมาณ เวลารถวิ่งสวน กันจะทำให้นำสาดกระเซ็นขึ้นมาหน้ารถประจำเลย ดีนะที่ยังไม่ล้างรถเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่งั้นคงช้ำใจกว่านี้ ...

ฟัง ๆ วิทยุแล้วรู้เลยว่าวันนี้กรุงเทพฯ มีฝนตกเกือบทุกพื้นที่เลยทำให้ตอนเช้า ๆ รถติด เพราะเกิดอุบัติเหตุกันเยอะมาก

เช้านี้ ผมก็มีช่วงหนึ่งที่เสียวเอาการเหมือนกัน เป็นช่วงโค้งแถวศูนย์ฮอนด้า พระราม 4 เห็นมีรถคันสีดำคันหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น APV หรือไม่ก็ Avanza เพราะเล็ก ๆ สูง ๆ วิ่งออกจากตลาดคลองเตยไปทางคาร์ฟูร์ (ขาออกพระราม 4) ทำท่าจะซิ่งแซงรถเมล์ แต่แกคงจะเหยียบแรงไปหน่อยเลยทำให้รถจะวิ่งเลยโค้ง แกเลยหักเข้า

ซ้ายแต่ก็ทำได้ไม่เยอะเพราะมีรถเมล์วิ่ง รถที่แกขับมาเลยเสียหลัก ส่ายไปส่ายมา พอเราพ้นมาได้นิดหนึ่งก็ได้ยินเสียงโครม ข้างหลัง ผมก็เหลือบมองดูที่กระจกข้างขวากับกระจกมองหลังว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เห็นอะไร แต่คงเห็นเพราะเราก็วิ่งเลยโค้งออกไปแล้วด้วย เลยเสียองศาที่จะมองเห็นไป

ผมคิดว่าแกคงชนกับเกาะกลางถนน แต่ไม่รู้ว่าจะข้ามมาทางฝั่งขาเข้าหรือเปล่า เพราะแกก็มาเร็วเหมือนกัน ถ้าข้ามฝั่งมาก็เรียกงานเข้าแล้วสำหรับคนที่วิ่งสวนมาแล้วชนกับเขาตอนนั้น เพราะถ้าผมมาช้ากว่านี้อีกสัก 15 วินาทีก็คงเป็นผมนั่นแหละที่เขาข้ามมาชน !!

สุดท้ายผมก็หวังว่าเขาคงไม่ชนคนอื่น ๆ ทั้งรถและคนข้ามถนน และตัวเขาก็คงไม่เจ็บตัวจากอุบัติเหตุครั้งนี้ครับ




Google
 

Download unlimited stock photos!

Wikipedia

ผลการค้นหา