วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำความรู้จักกับ Nuvi 1250

แม้ว่า ผมคิดว่าอาจจะเป็นอธิบายแบบซ้ำกับคู่มือการใช้งานของเครื่อง แต่ผมก็ขออธิบายแบบคร่าว ๆ ละกันว่า หน้าจอแรกของเจ้า Garmin nuvi 1250 มีอะไรบ้างเพราะจะได้เห็นภาพรวมกันสักนิดครับ


แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้งานบ่อยสักเท่่าไร แต่ก็อดที่เอ่ยถึงไม่ได้ นั่นคือข้้อความและไอคอนที่บาร์บนสุดของหน้าจอนะครับ..

ถ้ากดไปที่เป็นบาร์ๆ ด้านบนนั้น ก็จะเป็การเรียกดูว่าตอนนี้ เราอยู่ที่ไหน พร้อมกันนั้น เราก็สามารถหาสถานที่ได้อีก 3 แบบคือ โรงพยาบาล สถานีตำรวจและปั้มนำ้มันที่ไกล้ที่สุด เป็นมุมสำหรับฉุกเฉินจริงๆ ครับ

ถัดมาเป็นรูปรถ อันนี้ เอาไว้เปลี่ยนโหมดการเดินทางเช่นแบบรถยนต์ รถบรรทุก และการเดินเท้า ซึ่งแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันออกไป บางชนิดอาจจะแตกต่างกันนิดเองนะครับ

และถ้ากดที่เวลาตรงกลางหน้าจอด้านบน ก็จะเป็นทางลัดเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเวลาของเครื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเมนูเครื่องมือ อีกทีหนึ่ง

ค้นหาตำแหน่ง: จริง ๆ ก็น่าจะเริ่มต้นกันที่ตรงนี้นั่นแหละครับ เพราะเอาไว้สำหรับค้นหาตำแหน่องของปลายทาง เราสามารถเลือกชนิดของการค้นหาได้ตามแต่ละเมนูที่ต้องการเช่น จุดสนใจ ที่พบล่าสุด ที่ใช้ประจำและอื่น ๆ อีกมากมาย

ดูแผนที่: แม้ว่า เราไม่ได้เรียกให้นำทาง ณ ตอนนั้น แต่เราก็สามารถเรียกดูแผนที่ว่า ตอนนี้เราอยู่ไหนแล้ว และเมื่อขับรถไปเรื่อย ๆ ตัวเครื่องก็จะมีเสียงเตือนเช่นกล้องจับฝ่าไฟแดง หรือเตือนแบบอื่น ๆ ที่มีการเพิ่มไว้ในเครื่องเหมือนกันกับตอนนำทาง

ระดับเสียง: ตามชื่อเลยครับ .. เอาไว้สำหรับปรับระดับเสียงหรือปิดเสียงต่างๆ เช่นการนำทาง การกดปุ่มของตัวเครื่อง

เครื่องมือ: สำหรับการตั้งค่าต่าง ๆ เช่นระบบ การนำทาง เวลา ภาษา รวมไปถึงเครื่องมืออย่างอื่น ๆ เช่นนาฬิกาโลก เครื่องคิดเลขที่มีอยู่ในเครื่องด้วย

ปุ่มปิด/เปิด: ปุ่มเปิด/ปิดนั้นจะทำหน้าที่ 2 อย่างด้วยกัน อันแรกก็เปิด/ปิดเครื่องตามชื่อนั่นแหละครับ ส่วนอีกหน้าที่ก็เอาไว้ปรับความสว่างของหน้าจอ และล็อคหน้าจอเพื่อไม่ทำให้เวลาไปโดนปุ่มกดต่างๆ ของเครื่องใช้งานไม่ได้ชั่วคราว

จะสังเกตว่า Garmin ได้เลือกใช้คำที่เข้าใจง่ายและจัดเรียงเมนูต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการใช้งาน ทำให้ไม่ปวดขมองในการใช้งานจริงๆ แต่อย่างใดเลย ใช่ไหมครับ


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ซื้อเจ้า Nuvi 1250 แล้วนะ

ผมคิดจะซื้อ GPS มาใช้สักตัวหนึ่ง ตั้งแต่ที่ผมเริ่มขับรถแล้วเพราะอยากให้มีตัวช่วยเวลาขับรถไปไหนมาไหนบ้าง โดยเฉพาะที่ที่ไม่เคยไปเลย เพราะผมจะชอบขับเลยทางแยก ทางเข้า และหลงทางอยู่เรื่อย ถ้าได้ตัวช่วยก็น่าจะดีไม่น้อย และจะช่วยประหยัดน้ำมันไปในตัวด้วยครับ


จริง ๆ ผมก็ดูหลาย ๆ ยี่ห้อตามประสาคนอยากได้ :) เข้าเวบหาอ่านบทความรีวิวต่างๆ สาระพัด หลายคนก็บอกอันนี้ดีอย่างนั้น อันนั้นดีอย่างนี้ แต่ก็ได้แค่เก็บข้อมูลไว้เท่านั้น เพราะถ้ายังไม่ได้ซื้อ ไม่มีเป็นของตัวเราเองก็อ่านไปแบบเรื่อยเปื่อย อย่าคิดมาก จนได้มาเป็นของตัวเองสักที.. จึงจะพูดได้เต็มปากว่าดีจริงหรือเปล่า??

เหตุผลง่าย ๆ ที่ผมเลือก Garmin Nuvi 1250 เพราะราคามันถูกและยังถือว่าใหม่ระดับกลาง ซึ่งเมื่อก่อนมันแพงมาก จนต้องหยุดความอยากไว้เลยทีเดียว อีกข้อหนึ่งก็คือเรื่องของแผนที่ที่ใคร ๆ ก็ยอมรับกันว่า ถ้าเป็นแผนที่ของไทย แผนที่ของ Garmin นั้นเป็นแผนที่ดีที่สุดแล้ว (ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย)

อีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเรื่องของฟังชั่นต่างๆ หรือ feature ที่เป็นแบบเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก เพราะยังไงเสีย หน้าที่หลักก็คือใช้เป็นตัวนำทางเท่านั้น

ส่วนพวก bluetooth หรือ fm transmission นั้น ผมคิดว่าน่าจะได้ใช้น้อยมาก มันน่าจะทำให้เสียเวลาตอนที่จะขับรถเพราะเราจะต้องมาคอยเปิดทั้งตัวรับสัณญาณ และ gps ไปด้วย ครั้นจะเอาไว้ทำเองตอนขับรถอยู่นั้นก็คงไม่ดีแน่ ๆ และพอลงจากรถก็ต้องปิดสัณญาณอีกครั้ง

อีกอันหนึ่งก็คือแผนที่แบบ 3D - ผมมองว่าไม่จำเป็นครับ เพราะถ้าหน้าจอเล็กแล้วมีรูปตึกมาอยู่ข้างถนนทั้งสองฝั่ง จะทำให้การมองแผนที่ลำบากมากขึ้น(เขาเรียกว่า eye candy) แต่ถ้าเป็นจอ 7 นิ้วขึ้นไปแล้วมีภาพตึกสวย ๆ ประดับไว้ก็น่าจะพอไหว ฉะนั้นแผนที่ 3D ไม่จำเป็นครับ

ถามว่า ทำไม่เลือกเป็น widescreen เพื่อจะได้หน้าจอที่ใหญ่กว่า?
ผมคิดว่าแค่นี้ น่าจะพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น และเวลาติดตั้งที่หน้ารถก็จะได้ไม่บดบังทัศนียภาพการมอง (แค่เสาข้างซ้ายขวาที่ว่าเล็กแล้ว ผมยังอยากตัดทิ้งเลยเวลาเลี้ยวหรือกลับรถ กลัวว่าจะไปปีนฟุตบาทซะก่อน) รวมทั้งเวลาที่จะพกพาติดตัวไปด้วยอาจจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไร ที่สำคัญ.. เป็นการ save money (อีกครั้ง)ครับ..

อย่างไรก็ตาม เจ้า garmin nuvi 1250 ก็มีพวกฟังค์ชั่นแบบพื้น ๆ เช่น photo viewer, calculator, world clock, world map และพวก utility tools อีกนิดหน่อยก็น่าจะพอแล้วละ บางที พวกฟังค์ชั่นเหล่านี้ ผมยังคิดว่าใช้มือถือ(ที่เป็น touch screen)ทำหน้าที่แทนก็ยังได้ครับ

ก่อนจบบทความวันนี้ ผมขอเอาหน้าจอแรกของ Garmin Nuvi 1250 มาโชว์ดีกว่าครับ

โปรดติดตามวิธีการใช้หรือบทรีวิวแบบบ้าน ๆ ได้ในตอนต่อไปครับ.. :)



วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แค่อยากเก็บเบอร์ยาง

ผมเป็นหนึ่งที่มีปัญหาการจำเกี่ยวกับรถยนต์ เช่นเลขรอบยางล้อรถ และเลขความดันสำหรับการเติมลม เพราะเวลาจะทำทีไร ผมไม่เคยจำเลขสองตัวนี้ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ต้องทำประจำอยู่แล้ว

วันนี้ ผมเลยเอาตัวเลขมาโพสต์ขึ้นเวบให้ดู เผื่อว่าวันไหนอยากดู อยากรู้ก็เปิดเวบดูนั่นแหละ ..

ขนาดยางครับ...
 


Posted by Picasa

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตรงไหนมันโดนละเนี่ย?!?

เย็นนี้ ผมมีธุระจะต้องเข้าที่ตึกใหญ่ ทุกครั้งที่เข้ามา ผมจะขับขึ้นไปจอดที่ชั้นบนตลอด แต่คราวนี้ เขาบอกให้ลงไปจอดข้างล่างทั้ชั้น B2A เออ.. ก็แปลกดีนะ ไม่เป็น งั้นวิ่งลงข้างล่างก็ได้

พอผมรับบัตรจอดรถเสร็จ ก็ขับเข้าที่ทางจะลง โอ๊ะ เกือบไม่สังเกต มันมีตุ่มตรงกลางคั้นเลนไว้ ดีนะที่ผมยังไม่คล่อมมันซะก่อน ไม่งั้น รถผมโดน !! ผมสังเกตมาหลายที่แล้ว (หรือโมเมเอาเองกก็ไม่ทราบ :) ถ้าเข้าไปจอดที่ตึกจอดรถเก่า ๆ หน่อย จะเห็นว่าเขาทำทางขึ้นลงที่จอดแบบวน ไม่วนซ้ายก็วนขวา และชอบมีตุ่มเล็ก ๆ ขั้นเลนหรือบางที่ก็ไม่มีเลย

จากนั้น ผมก็ขับแบบระวังมากขึ้น เพราะกลัวจะไปกระแทะกับตุ่มขั้นเลนนั้น และทางขึ้นลงมันแคบและมองไม่ค่อยจะถนัดเอาเสียเลย ช้าหน่อยแต่รถไม่เจ็บก็ดีแล้วละ

พูดกันตามตรงนะ ระหว่างที่ขับลงไปลานจอดนี้ ยิ่งขับลง ผมยิ่งได้ความรู้สึกว่ากำลังขับรถลงถ้ำ มันมืดมาก และทางรถขึ้นลงมันไม่ได้ออกมาให้ดูง่าย สบายตาสักนิด พอผมลงมาถึงชั้น B2A ผมก็มองหาทางขึ้นและจะได้จอดใกล้ ๆ เวลาออกจะได้ง่ายหน่อย เอาง่ายไว้ก่อน :)

ผมขับวนขวามาทางออกเล็กน้อยก็พอจะเจอที่จอด งั้นเอาตรงนี้แหละนะ.. ใส่เกียร์ถอย .. มองซ้ายขวา ไม่มีรถ อืมม แบบนี้ง่ายหน่อย พอถอยมาได้สักระยะ แต่หน้ารถมันอยู่เกือบกลางทางรถวิ่งออกจากลานจอด

แล้วผมก็ปรับกระจกลงเพื่อจะมองเส้นข้างล่าง งั้นถอยอีกนิดละกันนะ .. ผมถอยอีกนิดหนึ่ง นิดจริง ๆ เพราะยังไม่วนครบวงล้อเลย แล้วผมก็ได้ยินเสียงดัง กึก ๆ 2-3 ครั้ง แค่ได้ยินผมเชื่อเลยว่าส่วนบนโดนอะไรเข้าแล้ว

ผมเดินหน้าออกไปก่อนนิดหนึ่ง ขอดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น อ้าวว ช่องระบายน้ำหรือช่องแอร์มันต่ำกว่าที่คิด มองไปข้างบนก็เขียนนะว่าระวังชน แต่ตัวมันเล็กและเขียนด้วยปากกาเมจิกหรือชอกข้างฝาแบบเด็กแว้น เขียนกวนในห้องน้ำเท่านั้นเอง

ตอนนั้น ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว มองหาไม่เจอ ไม่รู้ส่วนไหนมันชนกันแน่ ลองเอาเอาศอกนั่นแหละมันทาบวัดดูว่า ตรงไหนมันโล่เข้ามาบ้าง คร่าว ๆ ว่านะจะเป็นกระจก แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะมันดังแรงและน่าจะมีรอยอะไรบ้าง แต่ลองมองดูก็ไม่เห็นรอยอะไรที่กระจกเลย แล้วตรงไหนมันโดนละเนี่ย ?!?!




วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปีกว่าแล้วแต่แบตยังดีอยู่นะ

หลังจากที่ผมพบว่า บางครั้ง การเอารถศูนย์ เขาก็ไม่ได้ทำทุกอย่างหรืออะไรที่เราคิดไว้แม้จะเป็นเรื่องง่ายๆ ก็ตามเช่น การเติมน้ำกลั่นให้กับแบตเตอร์รี่ เพราะครั้งหนึ่ง ผมเอารถเข้าเช็คแล้วขับอยู่แค่อาทิตย์กว่า ๆ ก็เจออาการว่าสตาร์ทไม่ติดเพราะน้ำกลั้นขอดก้นแบตเลย จนต้องเรียกบริการด่วนของฮอนด้าเองมาพ่วงแบตให้ ตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งผมเคยโพสต์ไว้แล้วนั้น


หลังจากที่ผมเปลี่ยนแบตกอนแรกไปจนมาถึงทุกวันนี้ก็ประมาณปีกว่า ๆ แล้วมั้ง แต่ก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีอาการงอแงให้เห็นหรือลำคาญใจแต่อย่างใด แม้จะมีบ้างบครั้งที่ผมเจออาการสตาร์ทไม่ติด แต่ถ้าลองสตาร์ทอีกสัก 2-3 ทีก็ติดเหมือนเดิม ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะอากาศเย็นมากกว่า่ ซึุ่งไม่ทำให้เสียอารมณ์หรอกครับ เพราะไม่ทำให้เสียเวลามากเหมือนตอนที่ผมแอบชะล่าใจตอนนั้น !!

ผมขอสรุปเอาเองว่า ถ้าใครที่ใช้แบตเตอร์รี่แบบต้องเติมน้ำกลั่นประจำ ก็อย่าลืมหมั่นเติมน้ำกลั่นให้ตลอด อย่างน้อยเดือนละครั้งก็ยังดีนะครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไปก่อน อันไหนที่ทำได้ก็จัดการเลย รับรองไม่นานก็จะเชี่ยวชาญล่ะครับ



วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดีใจจัง เบาะแห้งแล้ว

อาทิตย์หนึ่งผ่านไป หลังจากที่ผมครุ่นคิดอยู่ว่า น้ำเข้ารถวันนั้น ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะปัญหาอะไรหรือเปล่า เพราะผมก็กลัวเหมือนกันว่าจะต้องเข้าซักเบาะ เสียเงินทองอีกเยอะแยะ

ถึงแม้ว่า หลังจากวันนั้นแล้ว จริงๆ แล้ว ผมแทบจะไม่เห็นวันไหน ท้องฟ้าโปร่ง แดดแจ่มสักวัน แต่เวลาที่ผมเข้าจอดที่ลานจอดของที่งาน ผมก็จะพยายามจอดมุมที่แดดพอจะส่งเข้าถึง

ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว ตั้งแต่วันนั้นก็จนถึงวันนี้ ผมยังไม่เจออาการอะไรที่บ่งบอกว่า ระบบไฟฟ้าขัดข้อง หรือแม้แต่อาการกลิ่นในห้องโดยสาร เพราะพรมเปียกแฉะขนาดนั้น อาจจะเรียกว่า โชคดีของผมไม่มีปัญหาก็ได้นะที่รถ แต่ก็ไม่อยากเจออีกล่ะ

เอาเป็นว่า จากนี้เป็นต้นไป ผมคงก็ต้องระวังให้ดี คอยตรวจดูว่าหน้าต่างประตูปิดสนิทดีแล้วหรือยัง ทั้งการจอดแบบชั่วคราวหรือข้ามคืน หรือแค่ช่วงสั้น ๆ เวลารถพักรถละครับ :)



วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ฝนตก น้ำเข้ารถ เบาะเปียก พื้นแฉะ

ตอนนั้น ประมาณ 3 ทุ่มกว่า ฝนยังตกแบบมืดฟ้ามัวดินหรือไม่รู้จักหยุดหย่อนเลย ผมมองลงไปข้างล่าง เห็นน้ำเริ่มจะเต็มถนนหน้าตึก เอาล่ะ .. ผมยอมที่จะลงมาย้ายรถก่อนที่น้ำจะเข้ารถผมจากใต้ท้องรถ ยอมเปียกดีกว่ายอมให้น้ำเข้ารถเยอะกว่านั้น

พอผมเปิดประตุรถเข้าไปนั่งเบาะคนขับ ผมก็รู้สึกว่ากระจกด้านหน้าก็เป็นฝ้าจนจะมองไม่เห็นทางและได้ยินเสียงฝนดังกว่าที่เคย ผมเลยมองไปด้านหลัง .. โอ้.. โน่ !!!! กระจกด้านหลังซ้ายมือลดลงมาครึ่งบานเลยครับ นาทีนั้น ไม่รีรออะไรอีกแล้ว รีบกดกระจกขึ้นปิดทันที คงไม่ต้องรอให้เลื่อนรถขึ้นอีกแล้ว ปิดให้ได้ก่อนเป็นดีที่สุด

หลังจากที่ผมเอารถขึ้นไปจอดด้านบนเสร็จ ผมก็เปิดไฟหลังคาไว้แล้วจัดการซับน้ำด้วยกระดาษทิชชู่บ้าง ผ้าเช็ดรถบ้าง ทั้งบนเบาะและใต้เบาะ เพื่อซับออกให้มากที่สุด หรือให้มันแห้งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าปล่อยไว้ มันก็คงเปียกและซึมลงในเบาะมากกว่านี้ ถึงเวลานั้น มันก็คงไม่แห้งง่ายแน่ ๆ และส่งกลิ่นเหม็นได้

ผมขลุกอยู่ในรถประมาณชั่วโมงกว่า ๆ แต่ผมก็ยังไม่สามารถเปิดประตู หน้าต่างได้เพราะฝนก็ยังกระหน่ำแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักที รอให้ถึงเช้าแล้วหาไดร์มาเป่าคงไม่ดีแน่ แก้ตรงนี้ให้ได้ก่อน ถ้ายังไม่ดีขึ้น ตอนเช้าค่อยคิดอีกทีว่าจะเอายังไง !!!

สุดท้าย ผมอยากจะบอกว่า เจ็บใจตัวเองที่ไม่ดูให้ดีซะก่อนที่เดินออกจากรถเมื่อตอนบ่าย แม้จะจอดชิดกำแพงก็ก็ลืมไปจริง ๆ .. ต้องรอดูผลอีกสัก 2-3 วันว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง :P




วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

การจอดรถที่ ร.พ. กล้วยน้ำไท

วันนี้ ผมมีโอกาศได้เข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ที่ใกล้แยกพระโขนงนั่นแหละครับ เลยอยากแนะนำวิธีจอดรถที่นี่สักหน่อย

ผมขับเข้าทางพระราม 4 เพราะมาจากตลาดคลอดเตย พอเข้าไปผมก็ตีไฟจะเข้าซ้ายเพื่อวิ่งขึ้นลานจอดด้านบน แต่พี่คนที่โบกรถด้านหน้าบอกให้ผมออกไปจอดข้างนอกแทน ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะลานจอดด้านบนน่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่เป็นไรเขาขอมาก็จัดไป
เอาเป็นว่า ผมต้องวนรถรอบเสาตรงทางเข้าโรงพยาบาล เพื่อจะออกไปจอดรถข้างนอกอีกที พอพ้นหน้าโรงพยาบาลก็ชิดซ้ายเข้าลานจอดที่อยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาล ข้าง ๆ กันก็จะมีเต้นท์ขายกับข้าว แต่ผมไม่ได้แวะเพราะอยากเข้าไปหาหมอมากกว่า อีกอย่างเดี๋ยวก็เข้าบ้าน ไปกินข้าวที่บ้านดีกว่า :)

ลานจอดตรงนี้ น่าจะจอดได้อย่างมากก็ประมาณ 15 - 16 คัน โดยจัดเลนจอดไว้ 2 แบบ ๆ แรกหันหน้าเข้าฝาผนังด้นใน ทำมุมทะแยงและอีกแบบก็จอดขนาดถนนซึ่งจอดได้ประมาณ 6 คัน แต่ถ้าคันใหญ่ก็จะเข้าออกยากเช่นกัน เพราะพื้นไม่เรียบ ทำให้เข็นยาก หรือบางทีอาจจะเจอแบบไม่ปล่อยเกียร์ว่างไว้อีกต่างหาก ก็คงต้องให้ทาง รพ. ช่วยอีกทีครับ

ถ้าลานจอดด้านหน้าเต็ม เขาคงไล่ให้ขึ้นไปจอดที่ลานจอดด้านบนแทน แต่ผมคิดว่าน่าจะดี ถ้าเขาจัดระเบียบการจอดรถอีกสักหน่อยครับ .. :)



วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การจอดรถที่ รพ. บางนา

เผื่อว่าใครมีโอกาศจะต้องขับรถเข้าไปจอดที่โรงพยาบาลบางนา และพอไปถึงหน้าโรงพยาบาลแล้วมักหาที่จอดไม่เจอ ถ้าหวังจะจอดด้านหน้าเลย ไม่ต้องคิดเลยครับเพราะเข้าจอดได้แค่ 2-3 คันก็เต็มแล้ว ถ้ามีพี่ยามหรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่แถวนั้นก็พอจะรู้ว่าต้องเข้าด้านใน

แต่ถ้าไม่มีคนคอยยืนบอกอยู่แถวนั้น ก็ต้องพยายามช่วยตัวเองให้ได้ก่อน อาจจะเรียกว่าลำบากสักหน่อยล่ะครับ

เอาล่ะ มาดูกันว่าจะเข้าไปลานจอดยังไงดี ..

ถ้าขับมาทางเข้าโรงพยาบาลจะอยู่ในช่องทางขวามือของโรงพยาบาล เป็นทางแคบ ๆ เข้าไป ถ้าเป็นรถปิคอัพหรือรถตู้ก็อาจจะต้องระวังสักหน่อย เพราะมันแคบมากจริง ๆ

อีกทางเข้าหนึ่ง .. เราสามารถเข้าตรงซอยใกล้ ๆ ที่ถัดจากทางเข้าโรงพยาบาลจริง ๆ ก็ได้ (ขับเลยโรงพยาบาลไปก่อน) แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ลานจอดรถอีกทีหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่ามันก็สะดวกและง่ายกว่าตั้งเยอะ แต่ผมไม่แน่ว่ามีป้ายบอกทางเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า ถ้าไม่มีอาจจะต้องสังเกตให้ดีก่อนที่จะขับเลยไปครับ

เมื่อขับผ่านตัวตึกของโรงพยาบาล จะเห็นว่ามีทางเลี้ยวซ้ายขวาและตรงไป (ทางขวาคือทางเข้าจากซอยด้านข้างนั่นเองครับ) เมื่อมองซ้ายขวาแล้วเห็นว่าปลอดภัยก็ให้ขับตรงไปขึ้นไปที่ลานจอดได้เลยครับ

พอขับขึ้นไปอาจจะงงนิดหนึ่งว่าจะจอดที่ตรงไหนดี เพราะเขาวางแนวจอดแบบแปลก ๆ เหมือนกัน โดยรวมก็คือการขับวนขวา พอขึ้นไปชั้น 2-3 ถ้าเห็นตรงไหนว่าง ก็เข้าจอดได้เลยไม่มีการติดป้ายสงวนสิทธิ์การจอดครับ ระวังแค่ว่าอย่าไปจอกขวางเข้าออก ทำให้คนอื่นเขาหมั่นใส้เอาก็พอแล้ว

สุดท้าย ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าไม่มีทางเข้าระหว่างอาคารจอดรถกับอาคารของโรงพยาบาล ต้องเดินลงบรรไดไปชั้นล่างก่อนแล้วค่อยเข้าทางประตูด้านหลังของโรงพยาบาลอีกทีครับ !!

ปล. ใกล้ทางเข้าด้านหลังจะมีมาร์ทร้านหนึ่งแต่ขายของช้าและแพงสักนิดหนึ่ง ถ้าไม่รีบมากก็อาจจะเดินอ้อมออกไปด้านนอกหาร้านอื่นก็ดีเหมือนกันครับ



วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อยากเปลี่ยนเป็น 4wd จริงๆ

เผอิญผมมีธุระด่วนที่ต้องกลับบ้าน ซึ่งตอนขาไปก้ไม่มีอะไรมา เราไปกันแค่ 3 คน แต่พอขากลับ ผมไม่ได้กลับทางเดิม เพราะจะเยี่ยมพี่สาวที่บนเขา ไหนๆ ก็มาแล้ว น่าจะลองไปเยี่ยมแกสักหน่อย ลองหาโอกาศขับรึ้นลูกนี้สักครั้ง

เช้า 9 โมงกว่า เราออกเดินทางขึ้นเขา คราวนี้ เรามีผู้โดยสารเพิ่มมาอีกคน ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็ไม่มีอะไรมากนัก เพราะถนนยังเป็นทางลาดยาง แต่พอใกล้จะถึงจุดหมายเท่านั้นแหละ ผมยังกล้า ๆ กลัวๆ ว่าจะไปไม่ไปดีล่ะเนี่ย .. ลองดูถนนข้างล่างนี้นะครับ ..

แต่พอขับลงไปจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ผมขับช้าเท่าที่จะช้าได้ เพราะถ้าขืนเร่งเครื่องอย่างเดียวคงไปไม่ไม่รอดแน่ ๆ แค่น้ำหนักที่ขนไปตอนนี้ก็เยอะพอแล้ว ถ้าขับแบบหนัก ๆ รับรองว่าใต้ท้องรถต้องครูดกับถนนไปหลายทีแล้ว

หลังจากนั้น มีช่วงหนึ่งที่มีรถจอดอยู่แล้วผมต้องขับผ่านไป แต่ถนนตรงนั้นมันแคบมากและไหล่ทาง มันไม่น่าจะผ่านไปได้เลยจริง ๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี .. เฮ้ยย.. โล่งอกไปที นึกว่าต้องเข็นกันซะแล้ว

ผมขับผ่านจุดเมื่อกี้ไปไกลมากนัก ผมก็มาถึงที่หมาย แต่ผมยังมองไม่ออกว่าเราจะพักกันที่ไหน พี่เขาบอกให้มองไปโน้น ต้องเดินต่อไปอีก ... ถึงไม่บอก ผมก็ไม่คิดว่าจะขับรถลงไปแน่ ๆ
แม้แต่ที่จอดอยู่ตอนนี้ ถ้าดูเผิน ๆ ก็ เหมือนทางขึ้นเขาธรรมดา แต่เมื่อผมขับไปถึง โอ .. มันขลุกขละมาก เข้ามุมโค้งอีกต่างหาก ต้องจอดแบบทำมุมให้ดีหน่อยละกัน จะได้ไม่ขวามทางชาวบ้าน

พอตอนจะถอยเข้าจอด ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจอดแบบไหนดี ผมเกือบจะพลาดถอยลงหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเพราะเพราะคิดว่าเป็นทางเรียบธรรมดา แต่ดีที่พี่เขาร้องบอกได้ทัน เลยต้องจอดเบี่ยงออกจากทางเลี้ยวนิดหนึ่ง เผื่อมีรถเข้าออก .. พอจอดรถเสร็จ ผมก็เดินลงไปที่กระท่อมกลางสวนที่ตั้งอยู่โน้นนั่นแหละครับ..

มุมนี้ ผมถ่ายตอนเดินลงไปได้กลางทางแล้ว ..


แต่มุมนี้ เป็นที่ผมหันกลับไปถ่ายรูปของผมที่จอดไว้ครับ!!

เราพักกันสัก 30 นาที แต่ก็ขนเอามะม่วง น้อยหน่าและหน่อไม้ขึ้นมาเต็มคันรถ เพราะไม่ได้ใส่เฉพาะหลังรถเท่านั้น เรายังเอามาใส่ด้านในห้องโดยสารด้วย เอาล่ะสิ แบบนี้ ผมอยากจะแปรสภาพมาเป็นรถปิกอัพแบบมีหลังคา ด้วยการพับเบาะหลังลงมาแล้วนั่งรวมกันกับถุงเสบียงไปเลยดีไหม :)

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าให้นั่งกันไปแบบธรรมดานั่นแหละ จะได้ไม่เหนื่อยมาก และเผื่อว่าตำรวจเรียกระหว่างทาง จะได้ไม่มีปัญหา ต้องมาต่อรองกันอีกสาระพัด

ผมมาเสียเวลาอีกตอนจะเข้าส่งพี่ชายที่ลพบุรี ตอนแรก ผมก็คิดว่าจะเป็นทางผ่าน ใกล้ ๆ กับสระบุรี แต่ที่ไหนได้ เลยขึ้นไปอีกจนเกือบถึงสิงห์บุรี และถนนมันไม่น่าวิ่งเอาเสียเลย ลองคิดดูถนนที่มีรถบรรทุกวิ่งทุก ๆ ชั่วโมงครับ มันเป็นหลุมเป็นบ่อ จะวิ่งเร็วก็ไม่ได้ ต้องคอยคลานไปเรื่อย ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคนแถวนั้น เขาไม่บ่นกันบ้างหรือไง หรือว่าทำใจได้แล้วสิ

ผมน่าจะเสียเวลาตรงนี้เกือบ 3 ชั่วโมง แม้ว่าระยะทางจะ ไม่กี่ร้อยกิโลเท่านั้น แต่มันวิ่งเร็วไม่ได้จริง ๆ และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะตอนนั้น คงต้องเดินหน้าต่อไป สู้ ๆๆๆๆ

พอวิ่งมาถึงก่อนจะเข้าสระบุรี ผมก็เจอฝนตกเป็นระยะ ๆ .. เป็นระยะจริง ๆ แบบขับผ่านไปก็เจออีกเป็นแบบนี้ไป 2 - 3 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งก็หนักมากเหมือนกัน เพราะโคลนที่ติดข้างรถ บังโคลนล้อและที่เกาะอยู่ตามข้างรถ มันออกหมดเลย เหมือนว่าล้างรถมาดี ๆ นี่เอง..

ผมมาจอดพักเข้าห้องน้ำที่ปั้มปิโตรนาส พหลโยธิน เพราะกลัวว่าน้ำมันจะหมดก่อนที่จะถึงบ้าน หรือพอวิ่งขึ้นทางด่วนแล้วน้ำมันหมดกลางทาง คงลำบากกว่านี้แน่ ๆ

จากนั้น ผมก็แวะส่งพี่ชายอีกคนที่ห้วยขวาง และผมไม่คิดจะเข้าพักอะไรหรอก ตอนนี้ เหนื่อย อยากกลับบ้าน อาบน้ำให้เย็นฉ่ำเท่านั้นก็พอ อดทนอีกนิดเพื่อให้ถึงที่หมาย ถ้าพักแล้วมันจะทำให้เหนื่อยกว่าเดิมแล้วไม่อยากขับรถต่ออีกนะสิ

ผมกลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่มกว่า ซึ่งตอนแรกผมกะเอาไว้แค่ประมาณ 5-6 โมงก็น่าจะถึงกรุงเทพแล้ว และก็ผิดความคาดหมายอย่างมาก !!





วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แบตอีกแล้วครับ!!

เช้านี้ งานเข้าแต่เช้าเลย ทั้ง ๆ ที่ อากาศกำลังเย็นสบายดี ..

เรื่องมีอยู่ว่า...

หลังจากที่ผมเช็ดกระจกทั้งสองข้างเสร็จ เพราะฝนตกเมื่อคืน แล้วผมก็เข้าไปนั่งรัดเข็มขัด บิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ ... แกร๊กๆๆ แกร๊กกกๆ เออ ทำไมมันดังแบบนี้นะ เป็นอะไรแต่เช้าเนี่ย ?!?!?
ผมลองสตาร์ทรถอีกครั้ง .. ฮ่าาาา โดยไม่ต้องสงสัย เป็นที่แบตเตอร์รี่ชัวร์ ๆ อาการเดียวกันกับตอนที่ผมต้องเรียก Honda service ครั้งที่แล้วเด๊ะเลย

ผมเลยเดินออกจากรถ เปิดกระโปรงหน้ารถ เปิดฝาแบตแต่ละช่องออกแล้วส่องดู อืมม เป็นไปตามที่คิด น้ำกลั่นพร่องลงไปหลายช่องเลย งั้นเอาน้ำกลั่นที่เหลือเพียงน้อยนิดหลังรถมาเติมดีกว่า เผื่อว่ามันอาจจะดีขึ้นบ้าง ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องเรียก Honda Service มาใช้บริการอีกครั้ง .. :)

เมื่อผม เติมน้ำกลั่นเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปลองสตาร์ทรถอีกรอบ สตาร์ทครั้งแรก มีเสียงท่าทางจะดีขึ้นแต่ยังไม่ติด !!

อืมม งั้นลองอีกครั้ง .. Oh Yes!! ติดแล้ว แต่ก่อนที่ติดก็มีเสียงแปลก ๆ .. ไม่เป็นไร แต่ก็ดีใจที่ติดจนได้

จริง ๆ ผมเติมน้ำกลั่นลงไปนิดเดียวเองนะ ถ้าตวงเหล้าก็แค่แก้วเหล้าเป๊กเดียวเท่านั้น :) แต่ก็แล้วล่ะ.. จะได้ไม่เสียเวลากับเรื่องรถแต่เช้า เดี๋ยววุ่นวายกันใหญ่

พอผมขับมาถึงปั้ม ปตท. ตรงสามแยกกล้วยน้ำไท ผมก็เลยแวะเข้าไปซื้อน้ำกลั่นสักขวด ๆ 11 บาท อืมม.. ก็ถูกดีนะ (ทำไม่ไม่ยักกะมีติดรถก็ไม่รู้)

หลังจากที่ได้น้ำกลั่นมาแล้ว ผมคิดแต่ว่าจะต้องหาที่เติมน้ำกลั่นให้เร็วที่สุด เพราะคงไปไม่ได้อีกไกลถ้ายังเป็นแบบนี้ และถ้าจะจอดอีกสักที่ระหว่างทางก็ชักไม่แน่ว่าจะสตาร์ทติดหรือไม่ ไม่ยังค่อยจะมี่นใจชะตากรรมตัวเองซะเลย.. ซะงั้น!

พอผมถึงที่ทำงาน จอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเปิดฝากระโปรงหน้าอีกครั้งสำหรับเช้านี้ ขอเติมน้ำกลั่นให้เสร็จ ๆ ก่อน ที่ไปทำอย่างอื่น ถ้าจะรอไว้เติมตอนเย็นคงไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่จะรีบกลับบ้านทุกที ไม่ค่อยสนใจอะรไนักหรอก และถ้าไม่เติมให้เสร็จ ขืนปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ :P





วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขึ้นด่วนแต่รถติดมากตอนลง 62

เย็นนี้ ผมเลิกช้ากว่าทุกวันเลยต้องกลับรถหน้า Tisco เข้าซอยสวนพลู แล้วขึ้นทางด่วน

ผมก็ชักจะไม่แน่เหมือนใจเหมือนกันเพราะพอขึ้นทางด่วนได้ รถก็ชะลอตัวไปสักพัก กว่าจะหลุดโค้งพระราม 4 ได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร แบบมันเป็นช่วงโค้งพอดีแล้วรถขึ้นมาจากพระราม 4 เยอะ

ตอนแรกผมกะจะลงที่สุขุมวิท 50 แต่ดูแล้วไม่ค่อยจะดี เดี๋ยวลงไปเจอรถบรรทุกตรงสายเก่าอีก ขอเลยไปลงสุขุมวิท 62 แต่รถติดมากนะ ผมก็เลยลัดเข้าซอยข้างก่อนแล้วค่อยมาตัดเอาก่อนออกปากซอย 62 ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมมันติดมากขนาดนั้น แบบล้นจนจะถึงตรงทางออกจากช่องทางด่วนเลย ดีหน่อยที่พอลัดเข้าไปแล้วไม่เสียเวลามาก

เวลาที่ผมขับออกนอกเส้นทางแบบนี้ มักจะหวั่นๆ ว่าหลงทางตลอดบ้าง ขับไปแล้วเจอทางตันบ้าง ถ้าขับไปแล้วต้องไปติดอยู่สักที่แล้วหาทางออกไม่เจอ เพราะแทนที่จะไปได้เร็วกลับมาเสียเวลามากกว่าเดิมอีก สมแล้วที่เขาบอกว่า "หลงทางเสียเวลา .."

หลังจากที่ออกจาก 62 ได้ การจราจรก็ดีขึ้น ไม่เสียเวลาเท่าไร หลบซ้ายขวาบ้าง ถึงบ้านก็ 6 โมงนิด ๆ

สรุปว่า .. วันนี้ ฟ้าแจ่ม รถเลยไม่ติดมาก แม้จะออก 5 โมงกว่า ๆ :)



วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แค่ฉิวเฉียดจริง ๆ !!!

เหตุเกิดตรงที่กลับรถใกล้กับโรงพยาบาลเทพธารินทร์อีกแล้ว เหมือนว่าจะชอบใกล้ความเสี่ยงที่ตรงนี้บ่อยแล้ว แต่ก็ไม่เข็ด เพราะมันเส้นทางหลักในการเดินทางไปกลับจากที่ทำงานเช้าเย็น

เช้านี้มีรถเยอะมาก แบบ 3 เลนเต็มพื้นที่ พอดีมีรถกำลังจะกลับรถตรงนั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเบนซ์หรือบีเอ็มนี้แหละ แต่ไม่ใช่รถใหม่นะ ไม่แน่ใจจริง ๆ และชอบสับสน 2 ค่ายนี้ตลอด :) รถที่วิ่งอยู่ซ้ายสุดเขาหยุดแล้วนะ ที่หยุดก็คงเพราะไปต่อไม่ได้แล้ว แกออกมาขวางลำไว้เรียบร้อยแล้ว แต่รถที่วิ่งอยู่เลนกลางกับเลนซ้ายสุดยังวิ่งกันต่อไปเรื่อย ๆ

พอผมวิ่งมาถึงแกก็ทำท่าจะโผล่หน้า (รถ) ออกมาอีก ผมก็เลยต้องกดแตรไส่ไป 2-3 ที ผมวิ่งอยู่เลนกลางและรถก็ยังวิ่งตาม ๆ กันไปแบบไม่ได้ทิ้งช่วงกับคันข้างหน้านะ ผมมองไม่เห็นจริง ๆ แต่แกก็ยังอยากออกมาให้ได้ ผมไม่ได้เบรคครับ แต่คันข้างหลัง ผมน่าจะเบรคจนตัวโก่งแน่ ๆ เพราะถ้าไม่เบรคก็ชนจริง ๆ เลยแหละ

หลังจากที่ผมผ่านนาทีนั้นไปได้ ผมมองที่กระจกหลัง ก็เห็นว่าแกกลับรถได้แล้ว แต่ยังวิ่งแบบขวางชาวบ้านอีก คือแกขับมาแบบช้า ๆ และคล่อมเลนขวากับเลนกลางมาอีก แต่แกก็มาทันผมตอนที่ผมจะเลี้ยวซ้ายไปกรมศุลฯ เลยไม่ได้ดูคนขับว่าหน้าตาเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้อยากหาเรื่องนะ แต่อยากดูหน้าเฉย ๆ :P

สำหรับผมแล้ว ตอนนั้นก็หวั่น ๆ เหมือนกันแหละว่าถ้าฉะกันจริง ๆ รถเราคงเสียหายอย่างหนักแน่ ๆ เพราะคิดอยู่เสมอว่ารถญี่ปุ่นมันเปราะบาง ไม่เหมือนของยุโรป ถ้าจะรถยุโรปไปเลย มันก็แพงซะจนไม่อยากจะคิดว่าจะต้องอดข้าว อดน้ำไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะใช้หนี้หมด.. :)



วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เอารถเข้าอู่ทำสีสักหน่อย

เลิกงานวันนี้ ผมรีบออกจากที่ทำงานประมาณ 4 โมงเย็นเพื่อจะนำรถไปเข้าอู่ทำสี ซ่อมรอยมอเตอร์ไซต์เมื่อก่อนปีใหม่โน้นเลย ปล่อยคาราคาซังไว้นานแล้ว แต่ไม่ยักกะมีเวลาให้สักที เลยตัดสินใจเอาเข้าอู่ทำให้เสร็จไปเลยดีกว่า รอครั้งเดียวยังดีกว่ารอแบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร อยากขับรถสวยไม่มีรอยก็ต้องยอม ๆ กันหน่อยล่ะ

ตอนแรก ผมก็จะรอให้สิ้นประกันตอนจะสิ้นปีเลยแต่ก็ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวมันไม่คุ้มค่าเบี้ยประกัน 555 ..

ผมเดาเอาว่าหลายคนก็คงคิดเหมือนผมนะ เพราะค่าเบี้ยประกันยิ่งแพงขึ้นทุกวันนี้ อย่างน้อยเข้าเคลมปีละ 2 ครั้งก็พอแล้ว ยิ่งถ้าเป็นประกันชั้นหนึ่ง แล้วไมได้เคลมเลยมันทำให้รู้สึกว่าเสียเปล่าไปเฉย ๆ ไม่ต้องห่วงว่าเบี้ยประกันจะถูกลงหรอกครับ มันแพงขึ้นตลอด ถ้าเอาแบบถูกหน่อยก็จะโดนตัดว่าไม่คุ้มครองตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ไอ้เราก็อยากจะให้คุ้มครองครบก็เลยต้องยอมจ่ายแพงเหมือนเดิมทุกที

ผมบอกตรง ๆ ว่าส่วนใหญ่รถที่นำเข้าเคลมตอนสิ้นปีทุกวันนี้จะมี 2 อย่าง อันหนึ่งเบียดขอบฟุตบาตและอีกอันก็โดนมอเตอร์ไซต์เบียดมาทำให้เป็นริ้วรอยน้อยมากตามแต่จะเป็นกัน ยิ่งถ้ารถคันเล็ก ๆ ต่ำ ๆ อย่างฮอนด้า แจ๊ซเนี่ย เขาชอบมากระแซะกันจริง ๆ ทั้งข้างหน้าข้างหลังเพราะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน

อย่างหนึ่งที่ผมสงสัยนะ มีการกำหนดค่าเบี้ยประกันจากหน่วยงานของรัฐหรือไม่ เพราะเวลาทำประกันผ่านนายหน้าแล้วทำไมเบี้ยประกันถึงไม่เท่ากัน ทั้ง ๆ ที่เป็นประกันของบริษัทเดียวกัน แต่ต่างกันที่นายหน้าเท่านั้น แล้วนายหน้าหักส่วนต่างเข้ากระเป๋าหรือยังไง เยอะแค่ไหนกัน มีใครมาดูแลเรื่องนี้บ้างเปล่า?!?!

ผมอยากให้มีการควบคุมค่าเบี้ยประกันจังเลย แม้ว่าจะเป็นประกันแบบสมัครใจก็เถอะ แต่ถ้าไม่ทำเวลาเกิดรถชนกันกันขึ้นมาก็มีปัญหาให้ลำบากกันพอดี หรือถ้าเราไม่ทำพอโดนชน คนที่ทำก็ต้องค่าซ่อมให้เรายังงั้นเหรอ มันไม่ค่อยแฟร์เลยจริง ๆ นะ

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สุดเสียวที่ลาดกระบัง

วันนี้ ผมมีธุระจะไปดูบ้านทางลาดกระบัง และจะไปรับเพื่อนมาช่วยนำทางแถวนั้นด้วย เพราะผมไม่รู้จักเท้านทางแถวนั้นเลย

พอรับเพื่อนเสร็จ ผมก็กลับรถใต้สะพานตรงตลาดหัวตะเข้ เสร็จแล้วผมจะต้องกลับรถอีกที่ใต้สะพาน ผมต้องกลับรถใต้สะพานแล้วเลี้ยวเข้าไปทางถนนเจริญกรุง แต่ก็ลืมกลับรถ ทำให้ต้องวิ่งเลยไปอีกที แล้วต้องหาที่กลับรถใหม่

ระหว่างนั้น ผมก็คิดอยู่ในใจว่าต้องมีกลับรถทางขวามือ แต่คิดผิดครับ เพราะแถวนั้น ส่วนใหญ่เขาให้กลับรถใต้สะพานซะหมดเลย

พอผมวิ่งไปถึงอีกสะพานที่น่าจะเกือบถึงสนามบินแล้วล่ะ พอกำลังจะขึ้นสะพานเพื่อนที่ไปรับบอกให้รีบกลับรถเดี๋ยวจะเลยอีก ..

เอาละสิ ผมวิ่งอยู่เลนขวาสุดแต่ต้องเข้าซ้ายเพื่อกลับรถใต้สะพาน ผมเหลือบมองกระจกซ้าย อืมม มีรถวิ่งตามแต่อยู่ไกลนิดหนึ่ง ข้างหลังไม่มีอะไร คิดว่าน่าจะโอแหละ

ผมมองกระจกหลังและก็เห็นมีรถคันหนึ่งวิ่งตามมาแต่น่าจะพอทำได้ แต่พอเอาจริงๆ เขามาเร็วกว่าที่เราคิด ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเป็นการกระทำที่เสี่ยงมากจริง ๆ ทำให้รถที่วิ่งตาม ๆ กันมาเบรคกันจ้าละหวั่น รวมไปถึงรถเลนสุดท้ายที่จะกลับรถใต้สะพานด้วย เอาไงดีล่ะ?!?!

แต่ตอนนั้น มันเบรคไม่ได้แล้วครับเพราะหักหน้ารถไปไกลแล้ว ขืนอยู่ตรงกลางลำต่อมีหวังโดนด่านานกว่านั้นแน่ ๆ ตัดสินใจซิ่งลงใต้สะพานกลับรถหนีไปเลยดีกว่า ยอม ๆ ให้ด่าแค่เห็นท้ายก็น่าจะพอแล้ว .. :)

ตอนขากลับเข้าเมือง ผมก็ผ่านมาที่ตรงนี้อีกที อ้าววว เลยไปอีกนิดหนึ่งมีให้กลับรถด้วย เกือบเอาชีวิตไปเที่ยงที่ลาดกระบังซะแล้ว !!!

สุดท้ายก็ขออภัยเพื่อน ๆ ที่ขับตามผมมาวันนั้น ที่ทำให้ต้องเบรคกระทันหันหวิดเกิดอุบัติเหตุใหญ่ เพราะความไม่รู้เส้นทางเลยจริง ๆ และเป็นความเสี่ยงจริงๆ ที่ทำแบบนั้น และขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณนั้นที่ปกป้องให้ข้าน้อยปลอดภัยมาครับ :)




วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

แยกไฟแดงอ่อนนุชอีกแล้ว!!

เรื่องมันเกิดที่ไฟแดงอ่อนนุช แยกไฟแดงทางสวนหลวง ต่อไปก็คงจะเรียกแยกนี้ว่าเป็นแยกอันตรายบ้างแล้ว เพราะว่ามีเหตุชวนสยองตรงนี้ตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขาเข้าหรือขาออก ก็เจอประจำแม้ว่าจะยังไม่เกิด แต่ก็เฉียดไปหลายครั้ง มันเลยพลอยทำให้อารมณ์เสียตอนขับรถไปตลดทาง ...

เรื่องมันมีอยู่ว่า ...

ผมก็เห็นเลนซ้ายมันว่าง ก็เลยตีไฟวิ่งออกซ้ายไปเลย เพราะไม่อยากรอให้รถเลี้ยวขวาไปจนหมด ผมมองดูข้างหน้ามันก็โล่งนะไม่มีอะไร ซึ่งถ้าหลุดจากรถที่รอเลี้ยวขวาไปก็สบายแล้ว

พอเลี้ยวออกตัวไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งตัวตรงพร้อมซิ่ง ผมก็เห็นรถแทกซี่สีส้มวิ่งออกมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเลย คือแบบแกมาประชิดขวามือผมเลยทีเดียว ผมก็เลยบีบแตรใส่ไป 2 - 3 ที แต่ยังเฉยไม่มองมาเลยสักนิด แถมยังซิ่งตัดหน้าเราออกไปเฉยเลย แบบจะรีบขนาดนั้น ดูท่างทางไม่มีผู้โดยสารด้วยมั้ง

บอกตามตรงว่า ถ้าผมไม่อยากเสียเวลา และต้องใช้รถเสาร์นี้ ผมคงจะหักพวงมาลัยใส่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย เซ็งมาก ๆ เลย มันไม่ใช่แค่หมั่นใส้หรือลำคาญแล้ว เรียกว่าโกรธจัดเลยทีเดียว เขาทำแบบนี้ได้ไง เขาอยู่ข้างหน้าผมไปอีก 3-4 คัน ถ้าไม่เห็นว่าผมออกมาก่อนก็คงไม่ใช่เหตุผลแล้วล่ะ

สุดท้ายก็ลืมไปเลยที่จะจดหมายเลขทะเบียนไว้ เพราะมัวแต่โกรธ ๆๆๆๆ อยากเอาคืนจริง ๆ แต่ไม่มีโอกาส.. ถ้าเจออีกรอบนะ จะชนจริง ๆ เลย!!



วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

ขับรถเข้ากรุงคนเดียว

หลังจากที่ผมออกจากกรุงเพพมาตั้งหลายวัน วันนี้ก็ได้เวลาที่ผมจะต้องกลับเข้ากรุงเทพเพื่อกลับไปทำมาหากิน (ทำงาน) เหมือนเดิมแล้วสินะ

ตลอดการเดินทาง ผมเห็นมีการตั้งด่านตรวจ และมีการตั้งกรวยกรองรถบ้างเหมือนกันนะ แต่ผมก็ไม่ได้โดนเรียกตรวจค้นสักครั้ง

ด่านแรกที่เจอคือตอนเลี้ยวซ้ายเข้าสายเอเชียที่เมืองพล ด่านนี้จะอยู่ไม่ไกลจากไฟแดงมากนักและมีตำรวจเยอะมาก แต่ก็เป็นการสุ่มเช็คเท่านั้น ผมก็ไม่ได้โดนเรียกหรอก เขาคงเห็นว่าผมเพิ่งจะออกมากถนนสายรองที่แยกไฟแดงนั่นเอง

พอมาติดไฟแดงที่แยกสีดา ผมก็เห็นมีตำรวจคนหนึ่งเดินไปคุยกับคนขับรถบรรทุกเล็กคนหนึ่งที่ฝั่งขาไปขอนแก่น ผมเดาเอาเองว่าคงประมาณให้ไปหยุดตรวจข้างหน้าอะไรทำนองนั้น เพราะเห็นแกชี้ไม้ชี้มือไปข้างหน้า แต่ผมก็ไม่เห็นมีคนยืนรอที่ข้างหน้าเลยจากไฟแดงไปนะ เอาเป็นว่าเขาาคงมาถามสาระทุกข์สุกดิบกันเท่านั้นแหละมั้ง

จากนั้น ตำรวจคนนั้นก็มายืนรอตรงเกาะกลางถนนเหมือนจะข้ามกลับไปที่ป้อมแต่ก็ไม่ข้าม พอดีรถขาเข้ากรุงเทพได้สัณญาณไฟเขียว แล้วแกก็เดินลงมาที่ถนนข้ามกลับไปที่ป้อม แต่หยุดอยู่ตรงนั้นเลยแหละ แล้วโบกมือให้รถปิคอัพหรือ crv นี่แหละให้เข้าเลนซ้ายสุดเพื่อตรวจเช็ค ผมก็ไม่ได้สนใจมองไปให้ทั่วคันว่าเป็นรุ่นไหน รู้แต่ว่าตรงไฟหน้าเขามีตกแต่งตัวครอบไฟสีโครเมี่ยม แต่จะซิ่งออกตัวไปให้พ้น ๆ เท่านั้น

ผมสังเกตว่าเขาจะขึ้นป้ายบอกให้เลี้ยวขวาเพื่อเลี่ยงเข้ากรุงเทพตรงใกล้แยกเทพาลัย ซึ่งเป็นการแบ่งรถไปทางด่านขุนทดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แทนการปล่อยให้รถขึ้นไปจุกกันที่ลำตะคอง เพราะจะทำให้รถติดกันเป็นขบวนยาวเหยียดกันทุกปี

พอมาถึงปากช่อง ผมรู้สึกเมื่อยล้านิดนิดเลยต้องหาที่พักรถสักหน่อย .. ผมเลือกแวะเข้า HomePro ที่กลางดง อ. ปากช่องเพราะจะได้เอารถเข้าร่มและเข้าห้องน้ำแบบเย็นสบาย .. :)

ผมขับไปได้สักพัก ก็เริ่มจะรู้สึกหิวขึ้นมา แต่เผอิญช่วงนั้นเป็นบนเขา เลยหาปั้มยากสักหน่อย ผมขับไปจนเกือบจะถึงสระบุรี จึงแวะเข้าปั้มปิโตรนัสหาขนมใส่ท้องสักหน่อย คงไม่ต้องไปนั่งทานข้าวเป็นจริงเป็นจังมากขนาดนั้น เพราะตามปกติ ถ้าขับรถทางไกล ผมก็ไม่ชอบจอดรถพักแล้วไปนั่งทานข้าวนาน ๆ แล้ว อยากให้ถึงจุดหมายเร็ว ๆ มากกว่าน่ะ

หลังจากที่ได้ขนมรองท้องแล้วก็พร้อมออกเดินทางต่อ ผมขับรถไปแบบสบาย ๆ ไม่เครียดอะไร เพราะไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย แม้ว่าจะเข้าสระบุรีแล้วก็ตาม

พอเลี้ยวเข้าวงแหวนตะวันออก ผมก็ทำความเร็วได้ดีพอสมควร แม้ว่ารถจะเยอะแต่อาศัยว่าถนนดี มี 4 เลนให้ทำให้รถแต่ละคันวิ่งกันแบบมันส์สะใจไปเลย ต่างคนต่างซิ่งแบบสุด ๆ

ผมมาถึงที่บ้านประมาณบ่าย 3 โมงนิด ๆ หรือยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งผมคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นการขับทางไกลไม่ค่อยเครียดเหมือนทุกครั้ง ไม่เจออุบัติเหตุ ไม่เจอรถซิ่งตัดหน้า หรือขับมากวนใจอะไร..

สุดท้าย ผมอยากขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกท่านที่ขับรถดีมีมรรยาทตลอดการเดินทางวันนี้ .. :)


วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยังกะเล่นงูกินหาง

บ่ายนี้ ผมมีธุระที่โรงแรมดุสิต แต่กว่าจะออกจากโรงแรมก็ประมาณ 5 โมงเย็น พอออกมาผมก็ตีไฟกระพริบ ชิดขวาไว้เพิ่อจะได้กลับรถใต้สะพาน แต่ว่าหลังจากที่รออยู่ได้แป๊บหนึ่งก็มองไปทางขาออก อืมมม มันชั่งติดได้ใจแท้หว่า ทำไงดีเนี่ย ?!?!

จังหวะนั้น ผมได้ไฟเขียวพอดี งั้นเอาเป็นว่าผมขับเลี้ยวขวาไปก่อนแล้วค่อยอ้อมเข้าหลังสวนลุมออกมาพระราม 4 อีกรอบ จริง ๆ แล้วอ้อมมาทาง นี้น่าจะง่ายกว่าด้วยซ้ำไปนะ

แต่ผมมาเสียจังหวะอีกทีตอนจะเลี้ยวซ้ายออกพระราม 4 เพราะมันติดมากเหมือนกัน

ผมชั่งใจนิดหนึ่งว่าจะเอาไงดี ถ้าตรงไปก็เป็นสาทรใต้ เลี้ยวซ้ายก็เป็นพระราม 4 แต่ทำไมมันติดจังหว่า ... ผมเลือกตรงไปแหละ เพราะโล่งสุด ๆ ขอเข้าสวนพลูเหมือนเดิมครับ รู้อย่างนี้น่าจะเลี้ยวซ้ายตั้งแต่หน้าโรงแรมก็จบแล้วววว!!

พอเข้าสวนพลูแล้ว รถก็เยอะเหมือนกันนะ แต่เอาเป็นว่าคุ้นเคยกว่า ถ้าหลุดตรงนี้ก็น่าจะดีขึ้นแน่นอน

เมื่อถึงใต้ทางด่วนก็อยากขึ้นนะแต่ก็ไม่อยากเสียตังค์ เหลือบมองไปไกล ๆ ที่จะไปทางพระราม 4 ก็ไม่ค่อยมีรถเหมือนทุกครั้ง แล้วที่พระราม 4 มันติดเพราะอะไรเนี่ย !! งั้นผมวิ่งทางราบมาเลี้ยวขวาที่แยก ณ ระนองดีกว่า

ระหว่างที่รอไฟแดง ผมเห็นว่ามีรถบรรทุก รถพ่วงเลี้ยวขวาออกจากท่าเรือเยอะมาก .. งั้นผมเข้าพระราม 4 อีกครั้งละก๊านนน วิ่งวนแบบสุด ๆ

พอผ่าหน้า ม. กรุงเทพ ดูรถยังติด ๆ อยู่ งั้นลองเข้าไปที่สายเก่าดู น่าจะดีขึ้น เพราะรถทางตรงคงไม่เหมาะ ถ้าหากจะเลี้ยวซ้ายออก 42 คงไม่ทันแล้ว เพราะชิดขวาจะเลี้ยวอยู่แล้ว

จริง ๆ ผมไม่ค่อยชอบวิ่งเส้นนี้เท่าไหร่ เพราะไม่อยากไปเบียดตรงกลับรถใต้สะพานพระโขนงสักเท่าไร มันเป็นการแก่งแย่งกันแบบสุด ๆ เพียงเพื่อจะกลับรถเท่านั้นเอง คนที่อยู่เลนในก็ไม่อยากให้รถแทรก ส่วนคนที่จะแทรกก็จะเบียดเข้าให้ได้ ถ้ามีรถมอเตอร์ไซต์มาแทรกให้ก็จะได้จังหวะดีหน่อย พอทุเลาอาการเดือดลงไปได้บ้าง แต่ถ้าให้รถเก๋งรถปิกอัพมาเบียดกันเองเมื่อไหรนะ ผมว่ามันแทบจะฆ่ากันตายให้ได้ เพราะต่างคนต่างก็ไม่ยอมกันสักที ใครกล้าเสียบหน้า(รถ)เข้ามาเยอะหน่อยก็จะได้ไปก่อน ใครที่จะกลับรถตรงนี้หรือมาบ่อยๆ คงจะทราบดีว่าเป็นอย่างไร

สุดท้าย ผมกลับถึงบ้านประมาณ 6 โมงครึ่ง ซึ่งก็ใช้เวลาเยอะมากเหมือนกัน และผมก็ไม่อยากคิดเลยว่าผมจะทำอะไรแบบนี้ได้ ขับรถวนไปวนมา เพราะแทนที่จะทำอะไรง่าย รอสักนิด กลับเปลี่ยนเส้นทางไปมา ยังกะเล่นงูกินหาง เลยไม่แน่ใจว่าเสียเวลาที่ตรงไหนกันแน่ แล้วรถมันติด ๆ จริงหรือเปล่าหว่า .. แต่สุดท้ายผมก็ทำไปแล้วแหละ อย่าคิดมาก :)



วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

บ่ายนี้ที่จอดรถเต็มจัง

โดยปกติ ผมจะเลี่ยงการขับเข้าห้างในตัวเมืองหรือห้างในชุนชนที่น่าจะมีรถเยอะ เพราะมันไม่ได้แค่เข้าออกลำบากแต่รวมไปถึงการหาที่จอดรถด้วย มันสุดแสนจะยุ่งยากแสนเข็นทีต้องขับตระเวนในลานจอด เพราะให้ได้ที่จอดเหมาะ ๆ สักที่ แต่บ่ายนี้ ผมมีธุระต้องไปที่ห้างเดอะ มอลล์ บางกะปิ แค่ได้ยินชื่อนี้ ผมว่าหลายคนคงขยาดไม่อยากขับรถขึ้นห้างเลยทีเดียว ซึ่งผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

ผมขับรถออกจากบ้านที่อ่อนนุชไปถึงเดอะ มอลล์แค่ 15 นาที แต่ผมต้องวนหาที่จอดเป็นชั่งโมงหรือมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะลานจอดเต็มแทบทุกชั้น ยกเว้นชั้นบนดาดฟ้า เพราะเขาไม่ได้ขึ้นไป ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบได้ ทั้ง ๆ ที่ลานจอดชั้นอื่น ๆ เต็มหมดแล้ว


ตอนแรกที่ผมขับเข้าไปผมก็ทะยานพุ่งขึ้นไปเกือบชั้นบนสุดเพราะคิดว่าคนคงไม่อยากขึ้นเท่าไร น่าจะพอที่ว่างอยู่บ้าง แต่ผมก็คิดผิดเพราะพอวนขึ้นยังไม่พ้นจากตรงทางลาดขึ้นก็เจอป้ายมาตั้งไว้ว่า "ที่จอดรถเต็ม" ผมเลยต้องวนลงมาเสี่ยงดวงที่ชั้นข้างล่างอีกรอบ

ผมเลือกเข้าชั้น 2A ซึ่งจริง ๆ ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นผมวนเข้าชั้นไหน รู้อย่างเดียวว่าต้องหาที่จอดให้ได้ ยังไงต้องหาให้ได้ครับ ผมไม่เคยวนรถหลายรอบแบบนี้ม่ก่อน และผมเริ่มจะหมดความอดทนกับที่ต้องวนรถไปเรื่อย ๆ เพื่อหาที่จอดแล้ว มันไม่สนุกเอาเสียเลย

พอผมวิ่งเข้าลานจอด ผมเลือกเอาช่องเลนกลาง ๆ เลย เพราะผมเห็นว่ามีรถน้อยกว่า ถ้ามีรถออกก็จะง่ายกว่าและคนคงไม่ชอบเข้าเลนกลาง ๆ หรอก ..

เชื่อไหมครับว่า ผมเดาถูก... :-P

พอผมวิ่งมาได้ช่วงกลาง ๆ เลนของลานจอด ผมได้ยินเสียงปิดประตูดังปั้ง .. อ๊ะ น่าจะมีรถออก ผมเบรคทันทีเลยครับ มองซ้ายทีขวาที เห็นคนในรถปิกอัพคันหนึ่งขวามือทำท่าเหมือนจะออกเพราะคนในรถเต็มเลย .. ยังงี้ก็สวยสิครับ ผมเปิดไฟ(ฉุกเฉิน)กระพริบ ถอยรถหลังนิดหนึ่งให้เขาออกได้สะดวกเพราะผมอยากเข้าไปเต็มทีแล้ว :)

พอ 4 โมงกว่า ๆ ได้เวลาผมออกจากห้าง ผมก็ต้องมาเข็นรถ 2-3 คันเพื่อจะได้พ้น ๆ ทางออกของผม ก็ไม่มีปัญหาอะไร สะบาย ๆ ถ้าใส่เกียร์ว่างไว้

ช่วงหนึ่งที่ออกจากห้าง ผมเห็นพี่ยามแกเข็นรถเก๋งของใครก็ไม่รู้ไปชนกับรถอีกคัน ถึงแม้จะไม่ได้ชนแรงจนเป็นแผลเวอะวะแต่ก็คงโดนรอบ ๆ ป้ายทะเบียนไปเยอะเหมือนกันเพราะชนปึ้ง กระเด็นแบบกระตุกทั้งสองคัน !!!


วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หลงทางเสียเวลา

วันนี้ ผมมีธุระต้องไปทำซีคอนหลังเลิกงาน ซึ่งตามปกติ ผมก็ไปที่นี่ประจำตอนวันหยุด และก็ไม่เคยใช้เส้นทางนี้เลย

พอผมลงจากทางด่วนออกที่ซอยสุขุมวิท 62 แล้วกลับรถเพื่อจะเข้าซอยสุขุมวิท 101/1 แต่ดันไปเข้าซอยสุขุมวิท 101 แทน เพราะลืมไปว่ามีอีกซอยอยู่ข้างหน้า

เมื่อผมวิ่งเข้าซอยสุขุมวิท 101 ก็ซิ่งตรงไปเรื่อย ๆ จนจะสุดซอยแล้วก็ลองเลี้ยวขวาเข้าไป แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่ เลยจอดถามคนแถวนั้น .. เขาบอกผมว่าเป็นทางตันให้กลับไปเข้าซอย 38 หรือ 40 เพื่อทะลุออกศรีนครินทร์ ..

เอาล่ะ ผมขับเข้าไปในซอยนิดหนึ่งแล้วก็กลับรถเพื่อวิ่งออกทางเดิม แต่คราวนี้ มันหนักกว่าเมื่อกี้เพราะตอนนี้ แดดส่งเข้ากระจกบานข้างหน้าอย่างแรงจนผมแทบจะไม่เห็นหนทางเลย ไหนจะต้องคอยมองหาทางเข้าซอยที่จะทะลุออกไปให้ได้ ไหนจะต้องคอยมองให้ดีกว่าเพราะกลัวมอเตอร์ไซต์หรือมีรถสวนมาตลอด ผมจึงต้องขับขับช้า ๆ เอา

พอผมวิ่งไปจนถึงซอยประมาณ 30 ต้น ๆ เอาเป็นว่า ผมลืมไปว่าต้องหาที่เลี้ยวเข้าซอยที่เขาบอกมา เพราะอ่านป้ายหมายเลขซอยไม่ได้เลย..

ผมก็ต้องหาที่กลับรถอีกรอบเพื่อหาซอย 40 .. พอผมกลับรถได้ก็เริ่มนับซอยมาเรื่อย ๆ จนมาถึง 38 .. เออ ทำไมมันเล็กจัง มันจะพ้นไปได้ไหมเนี่ย ?! ผมเลยไม่เข้าซอย 38 วิ่งไปเข้สซอย 40 แทน ผมเห็นมีรถปิกอัพป้ายแดงวิ่งระเลียดเล่น เหมือนหัดขับรถเลย ผมก็เลยแซงเขาเข้าไปข้างใน .. ซวยแล้ว เจอซอยตัน ต้องหาทางออกซะแล้ว...!!!

เออ.. ตกลงเขาบอกผิดหรือว่าเราจำผิดกันแน่ เพราะมัวมองหาซอยที่จะเข้าเลยจำสับสนไป!!

ผมกลับรถออกจากซอย 40 แล้วเลี้ยวขวา .. อืมม เจอแดดแรง ๆ อีกแล้ว เมื่อกี้ก็เพิ่งจะผ่านไป .. แต่ต้องทนเพื่อหาทางออกไปศรีนครินทร์ให้ได้

เมื่อผมมาซอย 30 ก็ตีไฟเลี้ยวแบบประชิดเหมือนกัน แต่ดีที่พี่มอเตอร์ไซต์ข้างหลังแกไม่ได้ขับมาไกล้มาก เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอผมขับมาถึงกลางซอยเท่านั้นแหละ ผมก็เจอป้ายสีเขียวบอกทางไปศรีนครินทร์ เออ.. แล้วเมื่อกี้ไม่ยักกะเห็นว่ามีป้ายตรงทางเข้ามาที่ปากซอย 30 เลยนี่หว่า !!!

จากนั้น ผมก็ขับเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาตามป้ายไปเรื่อย ๆ มาช้าอีกทีก็ตอนจะเข้าซอย 101/1 มั้ง รถเยอะมาก แบบแน่นสนิทเลย กว่าจะหลุดออกมาก็ใช้เวลาเหมือนกันเพราะต้องเบียดออกกันสาระพัด รถเยอะจริง ๆ นะเนี่ย ขนาดผมอุตส่าห์ออกจากที่ทำงานตั้งแต่ตอน 4 โมงนิดๆ แล้วนะ ยังเจอแบบนี้อีก

พอผมเลี้ยวซ้ายเข้าสุขุมวิท 101/1 แล้วแต่ก็ยังทำให้ผมงงมาตลอดเส้นทางเพราะมันได้ตรงดิ่งอย่างที่ผมคิดไว้ มันคดเคี้ยวเลี้ยวซ้ายขวาไปตลอด แต่ยังดีที่มีป้ายบอกทางให้เวลาเจอแยกให้เลี้ยว ไม่ได้ต้องตาม ๆ คนข้างหน้าเหมือนตอนแรกที่ขับเข้ามา

แอ๊น.. แอ้น.. แอ่น... และสุดท้าย ผมก็โผล่ออกศรีนครินทร์โดยมีห้างซีคอนตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมก็ขับเข้าซ้ายเตรียมขึ้นทางข้ามเข้าซีคอน ตามนั้นแล .... :)


วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

งานเข้าแต่เช้าเล้ย!!

ผมตื่นมาตอนตีห้ากว่า ๆ เพื่อจะไปส่งเพื่อนที่สนามบินแล้วก็จะไปรับน้องเจไดกลับบ้าน

พอผมกับเพื่อนจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย พร้อมเดินทางก็เดินทางมาที่รถ เข็นรถปิกอัพที่ขวางทางออกคันหนึ่ง แต่ก็ไม่พ้น เลยเรียกเจ้าของรถลงมาให้เลื่อนออกไปข้างนอกแทน ..

เมื่อทางสะดวก ผมก็เปิดประตูรถเตรียมสตาร์ทรถ แต่แล้ว .... พอบิดกุญแจจะสตาร์ทรถ มีอาการเหมือนตัวส่งไฟไม่พอ เออ.. ผมเพิ่งจะเปลี่ยนแบตเมื่อกลางปีนี่นา มันจะหมดเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ?!?!

ผมลองบิดกุญแจสตาร์ทอีก 2-3 ครั้งก็ไม่ดีขึ้น อืมมม.. พอจังหวะรีบ ๆ แต่รถกลับใช้งานไม่ได้ เอาไงล่ะทีนี้..

เมื่อผมเห็นท่าไม่ค่อยสู้ดี ผมเลยชวนเพื่อนเดินออกไปปากซอยแล้วเรียกแทกซี่ให้ไปส่งที่สนามบินแทนก่อน เดี๋ยวผมจะกลับมาจัดการกับรถอีกที อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร ???

เอาล่ะ เมื่อส่งเพื่อนขึ้นรถแทกซี่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับมาที่รถ เปิดกระโปรงหน้าดูอุปกรณ์หน่อยว่าตรงไหนที่มันจะเสีย จะพังบ้าง ซึ่งจริง ๆ ผมก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อะไรหรอก แต่ขอดูก่อนเผื่อหาจะทำอะไรได้บ้าง

หลังจากที่ดูตรงนั้น ตรงนี้ที ผมก็พบว่าน้ำกลั่นมันพร่องลงไปเยอะ แล้วผมก็ปิดกระโปรงรถ แล้วเดินขึ้นไปบนห้อง ลองดูว่าเป็นที่คิดหรือเปล่า เพราะไม่แบตหมดจริง ๆ ก็อาจจะต้องปลุกคนข้างห้องให้เขามาช่วยพ่วงแบตก็ได้

ผมก็เลยลองโปรไปหาเพื่อนอีกคนที่เขาใช้ฮอนด้าเหมือนกัน เขาแนะนำให้ติดต่อเบอร์ของ honda service ที่มีในคู่มือรถได้ เป็นบริการฟรีเพราะเขาใช้มอเตอร์ไซต์วิ่งให้บริการ เผื่อเขาจะได้เช็คอย่างอื่นด้วยว่าอะไรที่มันมีปัญหากันแน่

จากนั้น ผมเดินลงไปที่รถเพื่อหาเบอร์แล้วก็โทรแจ้งหน่อวยบริการขอความมช่วยเหลือด่วน ตามที่มีในคู่มือรถโดยบอกเขาว่า รถสตาร์ทไม่ติดในซอยอ่อนนุช พอวางสาย ผมก็รอ ๆ อยู่แถวรถนั่นแหละ แล้วก็มีโทรศัทพ์ดังขึ้นบอกว่าติดต่อช่างให้แล้ว พร้อมบอกชื่อช่างและลักษณะรถที่จะมาให้บริการ เป็นข้อมูลให้กับลูกค้าไว้ก่อน

ผมรออยู่ประมาณ 15 - 20 นาที ผมก็เห็นชายคนหนึ่งใส่ชุดสีแดงขับรถมอเตอร์ไซต์สีขาววิ่งเข้ามาที่หน้าหอพัก เออ .. น่าจะใช่ตามที่บอก มาเร็วดีนะ อยากให้เป็นแบบนี้ทุกทีจัง

พอเขาจอดรถเสร็จก็โทรหาเบอร์กลางบอกมาถึงไซต์แล้ว จากนั้นไม่นาน โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังชึ้น พอผมรับก็เนเสียงของคนเดิมที่คุยกันเมื่อกี้ถามว่าเจอช่างแล้วนะค่ะ ผมก็คอนเฟิร์มไปตามนั้น

ระหว่างนั้น ช่างก็เปิดกล่องเครื่องมือที่ท้ายรถ ดึงเอาแบตเตอร์รี่ก้อนหนึ่งออกมาแล้วไปวางไว้ที่หน้ารถของผม จัดการพ่วงแบต แล้วให้ไปผมลองสตาร์ทรถดู .. โอ้ .. เป็นไปตามคาด แบตมีปัญหาจริง ๆ

หลังจากนั้น พอผมขับรถออกไปได้ ผมก็แวะเติมน้ำกลั่นที่ปั้มคาลเท็กซ์ใกล้บ้าน แล้วบึ่งรถไปคู้บอนเพื่อรับน้องเจไดกลับบ้าน ..

เบอร์ติดต่อ honda service
1800 555 000 -- เป็นเบอร์โทรฟรีแต่ผมติดต่อเบอร์นี้ไม่ได้ (เหมือนเบอร์ยังไม่เปิดใช้บริการ)
1401 555 000 -- เป็นเบอร์มือถือที่ติดต่อง่าย คุยดีครับ



วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เช้าไปบางปู เย็นไปบางเขน

เช้านี้ ผมขับรถออกจากบ้านตอนเช้าประมาณ 9 โมงครึ่งไปรับเพื่อนที่สนามบินไปเที่ยวที่เมืองโบราณ สมุทรปราการ

พอไปถึงสนนามบิน ผมก็จอดรอเพื่อนอยู่ชั้นผู้โดยสารขาออก แต่ยังไม่ได้วิ่งเข้ามาในหน้าอาคาร เพราะกลัวว่ายามจะมาไล่ไปซะก่อนที่เจอจะเพื่อน แล้วต้องวิ่งวนขึ้นมาใหม่อีกรอบ

ผมรออยู่ตรงนั้นไม่นานเท่าไร เพื่อนก็โทรมาบอกให้มารับได้ ตอนนี้รออยู่ข้างหน้าแล้ว ..

หลังจากที่ออกจากสนามบิน ผมใช้เส้นถนนกิ่งแก้ว ไปเทพารักษ์ เข้าศรีนครินทร์ ซึ่งตอนแรกจะวิ่งตรงแล้วเลี้ยวขวา เข้าสุขุมวิทสายเก่าอีกที แต่ดูถนนแล้วไม่ค่อยน่าไปเลย เพราะถนนแคบ ผิวขรุขระ และวิ่งเลียบคลองไปอีกต่างหาก คิดว่าใช้ศรีนครินทร์น่าดีกว่าแน่นอน และผมก็ชินกับทางเส้นนี้มากกว่าด้วย

พอผมไปถึงเมืองโบราณก็จอดรถให้เพื่อนไปซื้อตั๋วเข้าชมที่ออฟฟิซไกล้ประตูทางเข้า ..

ระหว่างที่อยู่ภายในเมืองโบราณ เราแวะชมกับถ่ายรูปกันไม่กี่ที่หรอกเพราะแดดร้อนจัด เมื่อเช้าออกจากบ้านยังคลื้มฟ้า คลื้มฝน แต่ตอนนี้ทำไมมันร้อนเปรี้ยง ๆ ซะงั้น

พอออกจากเมืองโบราณ เราไปกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านสายลม บางแสน 2 ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองโบราณแต่เป็นตรงข้าม (คิดว่าไม่น่าจะเรียกเยื้อง ๆ ได้อ่ะ )

จริง ๆ ผมเคยมาร้านนี้ตั้งแต่เมื่อปีก่อนแล้ว ชอบบรรยากาศร้านนี้มาก อาหารก็อร่อยดี ที่สำคัญ สั่งอาหารเสร็จก็ไม่ต้องรอนาน เพราะเขารับออเดอร์แบบออนไลน์ หากคนึกไม่ออกว่าออนไลน์เป็นแบบไหนก็คิดถึง MK ละกันครับ

บ่ายนี้ ผมกลับถึงบ้านประมาณ 4 โมงกว่า ๆ รู้สึกมีอาการมึน ๆ นิด ๆ บวกกับที่ฉลองลีโอกับเพื่อนไปขวดหนึ่ง .. :) จากนั้น ผมของีบหลับพักสักหน่อย เพราะตอนเย็น ๆ จะต้องพาเพื่อนไปรับของที่บางเขน

หลังจากที่พักไปได้สักพัหก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้า ล้างตาเตรียมการเดินทางรอบที่สองของวันนี้

ตอนแรกผมกะว่าจะออกวงแหวนแต่มันคงไกลไปหน่อย เลยเปลี่ยนมาใช้เส้นบางกะปิ-บึงกุ่มแทน อย่างน้อยก็เลี่ยงรถติดที่หน้าเมเจอร์รัชโยธินไปบ้าง และพอดีว่าผมรับน้องคนหนึ่งมาด้วย เลยจะไปส่งเขาที่แยกลำสาลี

พอก่อนถึงแยกลำสาลี ผมส่งน้องเขาที่ป้ายรถเมล์เพื่อต่อไปที่หน้ารามฯ แต่เผอิญว่าหาช่องเสียบเข้าขวาไม่ได้ เลยต้องเลี้ยวขวาไปหน้ารามแวกลับรถ ก่อนถึงสนามกีฬา ฯ แทน แม้รถจะติด แต่เราก็ทำเวลาได้ไม่เลวนัก 5555..

จากนั้นก็เลี้ยวไปตลาดบางกะปิ เลี้ยวไปคลองจั่น เลี้ยวซ้ายไปนวมินทร์ ... แต่แล้วพอผมเจอป้ายเลี้ยวไป ม. เกษตร ผมก็เลี้ยวซ้ายไปทาง ม. เกษตร ซะงั้น แต่จริง ๆ ผมตั้งใจจะวิ่งไปจนถึงรามอินทราแล้วค่อยเลี้ยวซ้าย .. แต่ก็โอแหละ ไม่ลองไม่รู้ ?!?!

พอขับไปถึงถนนพลโยธิน ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเลี้ยวขวาได้เพราะเห็นมีอะไรบังอยู่ แต่ไฟเขียวเลี้ยวมีนะ!! ผมเลยเลี้ยวซ้ายออกไปก่อน ค่อยหาทางกลับรถมาอีกที .. ดีว่าที่กลับอยู่ไม่ไกลจากตรงแยก ระหว่างที่ผมรอกลับรถ

ตอนที่ผมจะกลับรถ เกือบจะมีเรื่องให้เสียวอีกแล้ว เพราะมีมอเตอร์ไซต์คันวิ่งออกจากซอยทางซ้ายมือของผม เพื่อที่จะเลี้ยวขวา (กลับรถ) เหมือนกัน แต่แกไม่ยอมตีวงกว้างออกไป แต่วิ่งเข้ามาไกล้ ๆ หน้าของผม ทำให้ผมต้องเบรคกระทันหัน แต่ก็ไม่ได้เบรคแรงมาก

พอไปถึงบิ๊ก ซี สายใหม ผมก็งงเล็กน้อยเพราะเห็นมีรถเลี้ยวขวาเข้าบิ๊ก ซี แต่เพื่อนบอกเข้าบิกซีไม่ได้ อ้าวว แบบนี้ก็ต้องขับเลยไปก่อนแล้วค่อยกลับรถอีกที

เมื่อผมกลับรถมาถึงหน้าบิ๊ก ซี ก็เลี้ยวซ้ายที่วอยที่บอกเลี้ยวขวาเข้าไม่ได้ อ้าววว มันยังไงหว่า ?!?!?

ผมก็ขับรถเข้าไปในซอยข้างบิ๊ก ซี ก็สังเกตว่ามันบอกเป็นป้ายทางเข้าห้างนะ แต่ทำไมมันแคบและมีระจอดวางขวางกันจัง .. พอขับมาไกล้ ๆ ก็ต้องร้องอ๋อ เพราะแกกำลังขนของขึ้นรถปิ๊กอัพ เออ.. ใช้ทางรถให้เป็นประโยชน์จริง ๆ

พอเขาขนของออกจากทางรถ (ของผม) ผมก็วิ่งวนขวาขึ้นลานจอดรถ ซึ่งทางขึ้นจะแคบมา ต้องระวังเป็นอย่างมาก แต่ดีว่าผมเจอี่ว่างที่ชั้น 1 ที่ขึ้นมาพอดี เลยไม่ต้องวิ่งวนขึ้นไปหลายชั้นเสียเวลา เสียอารมณ์ แต่เพิ่มความกลัวตรงทางขึ้นห้างอีกต่างหาก!!

จากนั้น เราก็รอเพื่อนที่นัดไว้เอากระเป๋าเดินทางมาให้ในบิ๊ก ซี โดยอาศัยร้านซี เอ็ดเป็นที่พักพิงระหว่างรอ .. แม้จะมีแค่กระเป๋าเดียว แต่หนักมาก เขาบอกว่าประมาณ 15 กก. โห หนักเอาการเลย!!

เอาล่ะ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เราก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ผมออกจากหน้าบิกซีก็เลี้ยวซ้าย เข้าพลโยธิน พอมาถึงวงเวียนกะว่าจะเลี้ยวขวาเพื่อไปขึ้นทางด่วนที่วิภาวดี แต่กลับออกจากวงแหวนผิดมุม เพราะคิดว่ารถที่ตัดออกมาเป็นเลี้ยวขวาแล้ว แต่มันเป็นการออกทางตรงจากวงแหวนต่างหากตะมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ อาบน้ำเสร็จก็นอนทันทีเลย ไม่อยากเปิดคอมมาทำอะไร เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ววววว :)


วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฮอนด้าเรียกคืนแจ๊ซ-ซิตี้กว่า6แสนคันทั่วโลกรวมทั้งไทย

เอเอฟพี - ฮอนด้า มอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เมื่อวันศุกร์(29) เรียกคืนรถยนต์รุ่นฟิต/แจ๊ซและซิตี้ ราว 646,000 คันที่จำหน่ายทั่วโลก สืบเนื่องจากปัญหาความขัดข้องของสวิทช์หน้าต่างไฟฟ้า

โฆษกของบริษัทเปิดเผยว่าการเรียกคืนวันนี้ ประกอบด้วยฮอนด้าแจ๊ซและซิตี้ 140,000 คันในสหรัฐฯ ส่วนที่เหลือเป็นรถที่จำหน่ายในยุโรป เอเชียและภูมิภาคอื่นทั่วโลก

ทั้งนี้ในส่วนของแจ๊ซนั้น ฮอนด้าระบุว่าจะเรียกคืนรถที่ผลิตระหว่างปี 2002 ถึง 2008 ที่จำหน่ายใน จีน บราซิล ไทย มาเลเซีย และอินเดีย

น่าจะเป็นเส้นทางกลับบ้านที่ไกลที่สุด

เย็นนี้ ผมออกจากที่ทำงานประมาณ 4.30 ซึ่งก็ช้าวันอื่นๆ นิดหน่อย แต่ออกไปไม่พ้นหน้าตึกเลย ก็รู้แล้วว่ารถติดแน่ ๆ เพราะผมใช้เวลารอกว่าจะออกจากหน้าตึก็นานพอสมควร

หลังจากที่ผมออกสู่สาทรได้ ผมก็กลับรถที่หน้าทิสโก้เพื่อเข้าสวนพลู ก็เป็นปกติเหมือนทุกครั้งที่เจอรถติด ๆ แบบนี้

พอเข้าสู่สวนพลูได้ ผมว่ามันก็แปลกทำไมรถมันยังติด ไม่เหมือนทุกครั้งเลยอ่ะ แต่ก็เข้ามาแล้วนี่นา ถอยไม่ได้แล้ว ต้องยอมรับสภาพต่อไป ..

เมื่อพ้นสวนพลู ผมขึ้นทางด่วนแล้วไปลงที่ ม. กรุงเทพ ทางด่วนวิ่งฉิวเลย มาชะลอหน่อยช่วงหน้า ม กรุงเทพ ตอนแรกผมก็จะไปลงสุขุมวิท 62 แต่เห็นรถเยอะเลยเปลี่ยนใจลงตรงนี้แหละ

พอพ้นจากทางด่วนเลี้ยวซ้ายเข้าอาจณรงค์ ผมเห็นมีรถบรรทุกติดยาวเลยที่เส้นรถไฟสายเก่า เลยกะจะไปออกสุขุมวิท 42 อ้าววว รถติดยาวออกมาถึงหน้า ม กรุงเทพเลย !! เปิด จส100 ฟังหยน่อย เขาบอกมีอุบัติเหตใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS พระโขนง ... ทำไงดีล่ะ กลับรถเข้าสายเก่าดีกว่า ยังไงต้องเลือกเอาสักทางแล้ววววว

ผมเลือกที่จะกลับรถที่หน้าม. กรุงเทพ มารอจะเลี้ยวซ้ายเข้าสายเก่าเพราะรถเยอะเข้าไปเลยไม่ได้ เพราะน่าจะดีกว่าเส้นอื่น ๆ แต่ก็รอนานใช้ได้นะ แล้วก็เลี้ยวเข้าสายเก่าได้ .. อืมม.. ดูท่างทางจะดีขึ้น

แต่ผมสังเกตว่าวันนี้ รถเยอะมากกว่าทุกวัน ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่ต้น ผมน่าจะไปลงที่ 62 เลยดีกว่านะ แต่ไม่มีสิทธิ์เลือกแล้วล่ะ

ผมวิ่งสายเก่าไปเรื่อย ๆ เห็นซอย 50 รถเยอะ ลเยตัดสินใจไม่เลี้ยวเข้าไป ลองวิ่งตรงไปทางสรรพาวุธดูว่าจะเป็นยังไงบ้าง พอวิ่งไปได้สักพัก ก็เจอป้ายบอกทางไปอกสุขุมวิท 62 แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะวิ่งเลยไปแล้ว ก็เมื่อกี้ผมวิ่งตามรถบรรทุกมาเลยไม่ทันได้มองว่าออกตรงนี้ได้ งั้นก็ขับเลยต่อไปจนถึงสรรพาวุธ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปทางบางนา ...

เออ.. การตัดสินใจเข้ามาอีกแล้ว จะเข้าสุขุมวิทดีไหมเนี่ย? หรือว่าจะออกไปบางนาแล้ววนเข้าศรีนครินทร์ไปเลย ?!?!

ผมเลือกไปเส้นบางนาครับ เดี๋ยวจะได้เอาอัลบั้มรูปฝากเพื่อนเอากลับบ้านนอกด้วยเลย จะได้ไม่เสียเวลาขับมาในวันอื่นอีก เขาจะกลับบ้านเสาร์นี้แล้ว ..

ผมแวะเอาของไปฝากเพื่อนไว้แป๊บหนึ่งก็วิ่งอ้อมเข้าศรีนครินทร์ โอ้ โห รถติดน่าดูตรงช่วงที่มีก่อสร้างอุโมงค์ไกล้แยกอุดมสุข จากนั้นก็เรื่อยมาจนถึงหน้าซีคอน พอพ้นไปก็วิ่งแบบชิว ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก ..

มันจะมีปัญหาอีกก็ตอนจะเลี้ยวซอยหน้าบ้าน พอผมตีไฟจะเลี้ยวเข้าแล้วล่ะ รถที่สวนเลนมาก็จอดให้เรียบร้อยแล้ว ออกตัวไปนิดอยู่กลางเวนแล้วเรียบร้อย แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงข้างหลัง พอหันไปมอง .. อ้าว มอไซต์โดนท้ายรถของผมอีกแล้ว

ผมเห็นมีเด็กวัยรุ่น 3 -4 ซ้อนมอไซต์กันมาคันหนึ่งอยู่ข้างหลัง ประมาณว่าจะหลบรถผมที่จะเข้าซอย แต่ไม่ทันดูไฟว่ารถกำลังจะเลี้ยวขวา เลยหลบไม่พ้น เลยมาสะกิดซะ ผมยังไม่ทันได้เปิดไปดูมันก็ขับรถหนีไปเฉยเลย แล้วไง ก็คงต้องปล่อยเขาไป อีกอย่างตอนนี้ รถของผมก็อยู่กลางถนนขวางไปอีก 3-4 เลนเลยแหละ ถือว่าทำบุญ อโหสิล่ะกัน

พอผมเข้าถึงบ้าน จอดรถเรียบร้อยแล้วก็รีบลงมาดูท้ายรถว่าโดนอะไรบ้าง .. ไม่เห็นมีอะไรเสียนี่หว่า แล้วมันโดนรถของเราตรงไหนเนี่ย อยากรู้จัง ?!?!?!?!

สรุปว่าวันนี้อาจจะเป็นวันที่ผมขับรถจากที่ทำงานเพื่อกลับบ้านเป็นระยะทางที่ไกลที่สุดแล้วมั้ง

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การจอดรถที่แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ

เย็นวันนี้ ผมมีโอกาศได้ไปร่วมงานแต่งของเพื่อนที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ที่อยู่ไกล้แยกระหว่างถนนราชดำริตัดกับถนนเพลินจิต ถ้าหากต้องขับรถไปที่โรงแรมนี้ ผมแนะนำให้เผื่อ ๆ เวลาไว้สักนิด เพราะอยู่ใจกลางเมือง รถติดเป็นเรื่องธรรมดา แต่เลี่ยงได้ก็จะดี :)

ทางเข้าโรงแรมจะมี 3 ทางด้วยกัน

    ทางแรกคือใช้ถนนเล็ก ๆ ร่วมกันกับทางเข้าห้างอัมริน พลาซ่าที่เข้ามาจากถนนเพลินจิต (สุขุมวิท) แล้วเบี่ยงขวานิด แล้วก็วิ่งลงทางเข้าของชั้นใต้ดินเพื่อเข้าโรงแรม ซึ่งพอผ่านตู้รับบัตรจอดให้เลี้ยวซ้าย แล้ววนขวาหาที่จอดได้เลย

    ทางเข้าที่สองเป็นทางเข้าที่เข้าทางถนนราชดำริ เอาไว้สำรองสำหรับคนที่จะแวะเข้าไปส่งผู้โดยสาร แต่ถ้าจะเข้าจอดก็ต้องขับเลยทะลุไปจนสุดแล้วของโรงแรมเลี้ยวซ้ายเข้าลานจอดรถ ตรงนี้ต้องระวังรถทางซ้ายมือที่ออกจากลานจอดและรถทางขวาที่จะเข้าโรงแรมด้วย

    ส่วนทางเข้าที่สามจะอยู่ก่อนจะสุดเขตของโรงแรม (ก็คือทางเข้าที่กล่าวไว้ในทางเข้าที่สองนั่นแหละครับ) ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะวิ่งเข้ามาที่ทางเข้านี้ เพราะคิดว่าคงไม่ทางเข้าอีกแน่นอน ก็พยายามขับกันช้า ๆ ก็ดีเพราะคนเยอะ รถเยอะได้ในบางโอกาศ


เมื่อผ่านตู้รับจอดรถเสร็จให้ขับเข้าไปข้างใน โดยวนขวาไปเรื่อย ๆ หาที่จอดได้เลย แต่บางชั้นอาจจะมีการระเบียบการเดินรถแตกต่างกันบ้าง ทางขึ้นลงอาจจะแคบและอยู่ไกล้กันมาก จนบางทีลืมเลี้ยว ต้องถอยรถกลับก็มี อันนี้ ต้องคอยสังเกตให้ดีด้วย

ส่วนเรื่องราคาค่าจอดนั้นจะอยู่ที่ชั่วโมงละ 30 บาท ปัดเศษนาทีเป็นชั่วโมงแบบทั่วไป แต่ถ้าได้แสตมป์บัตรจอดรถ ก็จะไม่ต้องเสียค่าจอดครับ ..

วันนี้ ผมได้ที่จอดที่ชั้น B1 ไม่ไกลจากทางเข้าโรงแรมหรือวนรถให้เหนื่อย อาจจะเป็นเพราะว่าผมขับเข้ายังไม่เย็นมากหรือมาก่อนงานเขาเริ่มกัน เลยไม่ได้วนหาที่จอดลำบากเท่าไร :P




วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ขึ้นรถเมล์ดีกว่า..ไม่เครียดเหมือนขับเอง

เช้านี้ ผมมีงานข้างนอกที่สุขุมวิทเลยไม่ได้เข้าออฟฟิซ แต่เนื่องจากว่างานเริ่มตอน 9 โมง ฉะนั้น ถ้าออกจากบ้านเหมือนวันทำงานปกติก็จะเข้าเกินไป กลัวว่าออฟฟิซของเขายังไม่เปิดกัน ต้องนั่งรอหน้าประตู .. แบบนั้นไม่เอาดีกว่า ผมจึงเลือกที่จะออกประมาณ 8 โมงกว่า ๆ ซึ่งผมก็คิดเสมอว่าถ้าออกจากบ้านสาย ๆ หลัง 6.30 น. เนี้ยมันเป็นอะไรที่ลำบากมาก กว่าจะหลุดพ้นซอยอ่อนนุชได้ คงไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่ ๆ

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ผมจึงต้องจอดรถทิ้งไว้ที่บ้านแล้วก็เรียกมอไซต์จากปากซอย 35 ไปที่สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช เพื่อเลี่ยงการจราจรยามนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด และจากที่สังเกตนะตอนที่นั่งมอเตอร์ไซต์มาตลอดเส้นทางนั้น รถติดจริง ๆ ทุกครั้งจะเจอแค่ว่ารถจอดตอนเข้าออกซอย แต่นี่ไม่มีที่ช่องว่างระหว่างรถที่วิ่งกันเลย แถมมีอุบัติเหตุช่วงซอยอ่อนนุช 30 ต้น ๆ ด้วย อืมม.. ถ้าเจอแบบนี้ เช้านี้ก็คงไม่ธรรมดาแน่ ๆ ครับ

พอหลุดจากซอยอ่อนนุช ผมก็ขึ้นรถไฟฟ้าไฟลงที่อโศก ซึ่งอันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไงรถก็มาตามเวลา จะมีเลตบ้างก็ชิว ๆ อยู่แล้ว

...

พอตอนเย็น ผมก็ขึ้นรถเมล์ตอนขากลับเอา เพราะมันไม่ต้องเลี้ยวเข้าซอย วิ่งสายตรงตลอดจนถึงอ่อนนุช อีกอย่างก็ประหยัดกว่ากันตั้งเยอะ ๆ :) รวมค่าเดินทางประมาณ 80 บาทเท่านั้นเอง ..

สรุปว่าผมต้องทำแบบนี้ไปอีกสัก 2-3 วันเลยแหละในช่วงที่ผมยังมีธุระที่สุขุมวิทแบบนี้ ดีเหมือนกันนะ ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ไม่เครียดเหมือนขับรถเองด้วย 5555..

Google
 

Download unlimited stock photos!

Wikipedia

ผลการค้นหา