วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เมื่อยางโดนเสียบ

เช้านี้ ผมขอเดินทางกลับเข้ากรุงก่อนที่ฝูงชนจะเข้ากรุง ชิงเข้ากรุงก่อนดีกว่าไปแข่งกันวันพรุ่งนี้ และแน่นอนว่าต้องสำรวจรถเพื่อความปลอดภัยเสียก่อน สิ่งแรกที่ทำคือเช็คล้อทั้ง 4 ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนของรถ แรก ๆ ก็ดูว่ายางจะมีรั่วมีซึมบ้างหรือเปล่า เพราะเมื่อวานวิ่งไปทางอำเภอแก้งสนามนางแล้วเจอถนนที่รถขนอ้อยวิ่งกัน แบบสุดยอดเลยจริง ๆ .. ก็ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อกันตลอดเลย กลัวเหมือนกันว่าจะโดนอะไรบ้างหรือเปล่า

และแล้วก็ต้องมาจ๊ะเอ๋เอาที่ล้อหลังด้านซ้าย มีหัวนอตขนาดเล็กเเสียบคาอยู่ โอย .. คงไม่ขอถอดเองหรอกครับ แบบนี้ต้องรีบเอาไปให้ช่างเช็คให้แล้ว อย่างน้อยน่าจะมีช่าง หรือร้ายซ่อมรถอยู่ระหว่างทางเข้าเมืองพลหรือบ้านไผ เพราะถ้าทิ้งไว้แบบนั้นตลอดการเดินทาง แบบไว้รอเช็คที่กรุงเทพฯเลยคงไม่ได้การแน่ ๆ

พอถึงร้าน ช่างก็ถอดล้อออกไป และดึงตัวนอตออก จากนั้นก็นำยางไปแช่น้ำเช็คลมให้ สรุป ยางไม่รั่วครับ ช่างก็จัดเก้บล้อเข้าเหมือนเดิม เขาเอาค่าตรวจเช็คให้แค่ 20 บาทเอง เขาใจดีจริง ๆ ก็ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ

และสุดท้าย นอตตัวเล็กก็ออกมาวางไว้แบบติดดิน ไม่มีใครสนใจใยดีอะไรอีกแล้ว

จากนั้นก็ขับออกจากร้านมา ด้วยใจก็ภาวนาว่าขอให้วิ่งได้ตลอดรอดฝั่ง แบบให้ถึงกรุงเทพ ฯ ด้วยเถอะ บอกตรง ๆ ว่าไม่กล้าวิ่งแบบเต็ม 100 เหมือนเดิมแล้ว เพราะยางคงมีรอยปริ พร้อมที่จะระเบิดกรือแตกได้ทุกเมื่อ หากเจอการกระแทกแบบแรง ๆ อีกสักครั้ง

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เลี้ยวขวาที่สระบุรี

ตื่นมาตอนตี 3 กว่า ๆ เพราะจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด คาดว่ารถคงไม่เยอะแล้ว คนเขาคงเดินทางตั้งแต่เย็นวันวาน และก็ขอออกเช้า ๆ หน่อยจะได้ถึงจุดหมายเร็วนิดหนึ่ง วันนี้ยังใช้เส้นทางเดิมที่เคยไป คือวงแหวนรอบนอกตะวันออก

พอจัดเก็บแต่งกระเป๋าเสร็จก็พร้อมเดินทาง โดยใช้เส้นทางออกนอกเมืองเส้นเดิม ๆ นั่นแหละครับ แรก ๆ เลยที่เลี้ยวเข้าวงแหวนตะวันออก ก็ยังไม่ค่อยมีรถมาก พอไปได้สักพัก รู้สึกว่ารถจะเริ่มหนาหูหนาตามากขึ้นเรื่อย ๆ วิ่งไปเรื่อย ๆ สลับกับหยุดบ้างช่วงมีอุบัติเหตุ แต่ยังไม่เห็นว่ามีเหตุรุนแรงมาก แค่เฉี่ยวชนกันนิดหน่อย คนส่วนใหญ่ก็ชะลอดู ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ตรงไหนมีอุบัติเหตุ คนก็จะชะลอดูแล้วก็จะทำให้รถที่วิ่งตามกันมาติดเป็นระยะไปเรื่อย ๆ

ผมใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าก็ถึงบางปะอิน จะเข้าสู่สระบุรี ยังไม่ทันสว่างด้วยซ้ำครับ ช่วงนี้ก็พอมีรถบ้าง แต่ยังสามารถวิ่งได้ถึง 80-100 แล้วแต่จังหวะ รถมาเริ่มชะลอตัวมากช่วงเลี้ยวขวาลงจากทางข้ามหน้าค่ายทหารอดิศร ที่สระบุรี จากนั้นก็ค่อยขยับได้ทีละคืบ สองคืบไปเรื่อย ๆ แน่นอนเป็นช่วงเวลาที่ช้าที่สุดและผิดความคาดหมายไว้เลยจริง ๆ

เชื่อมั้ยครับว่าผมจอดอยู่ตรงนี้เกือบ 3 ชั่วโมง และมีทีท่าว่าจะไม่แปรสภาพไปได้เลย เลยเอาแผนที่มากางดูว่าถ้าจะออกำไปทางลพบุรีจะได้ไหม โชคดีที่พอจะออกแยกแก่งคอยแล้วไปทางท่าหลวงได้ แต่กว่าจะออกไปแก่งคอยได้ก็เลี้ยวผิดเลี้ยวถูกไปเป็นประจำ คือเขาก็มีป้ายบอกให้ชิดซ้ายถ้าจะไปแก่งคอย แต่พอออกไป มันก็ยังอีกใกล ไม่ใช่เป็นแยกไปแก่งคอย บอกตรง ๆ ว่าเลี้ยวผิดไป 2 - 3 แยก เสียเวลามากกกก ...

หลังจากที่เข้าถนนไปแก่งคอยได้ คนละอย่างกับสายหลักเลยจริง ๆ ถนนโล่งสุด.. สุด... รถน้อยมาก วิ่งได้แบบเต็มสตรีมเลย แต่เนื่องว่าถนนเส้นนี้ไม่ใช่เส้นทางหลัก ฉะนั้นก็จะมีทางเลี้ยว ทางโค้งเยอะมาก บางโค้งก็ให้เข้าโค้งแค่ 30 - 40 เอง ถ้าจะเลือกเส้นนี้วิ่งตอนกลางคืนก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพิ่มเป็นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว ไม่งั้นเข้าโค้งแล้ว ไม่มีสิทธิ์ออกจากโค้งเป็นแน่ ... :)

วันนั้นกว่าจะถึงจุดหมายที่เมืองคงก็ประมาณเที่ยงมั้ง แต่ก็ถือว่าทำเวลาได้ดีพอควร มีหลงทางบ้าง เพราะไม่เคยไป อาศัยแผนที่ที่ติดรถนั่นแหละนำทางไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าหากขืนยังใช้เส้นทางหลัก ผ่านเขาใหญ่ ขึ้นลำตะคอง มีหวังกว่าจะถึงก็เย็นแน่ ๆ

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550

มีเสียวตอนเลี้ยวเข้าซอย

วันนี้ออกจากอฟฟิซประมาณ 4 โมงเย็นนิด ๆ เพราะไหน ๆ ก็สิ้นปีแล้ว อีกอย่างหัวหน้าออกไปแล้ว :)

แม้ว่าขณะนั้นรถจะยังไม่เยอะมากเหมือนทุกวันที่ออกจากออฟฟิซ แต่ก็มีอะไรเสียว ๆ บนท้องถนนเหมือนกัน เรียกได้ว่าเกือบตลอดการเดินทางเลยก็ว่าได้ รายแรกก็ออกจากไฟแดงแรกใกล้ ๆ กับสถานทูตออสเตรเลีย เขาวิ่งเข้าซ้ายออกขวากันตลอด มีเบรค ๆ เร่ง ๆ ตามปกติ และข้างหลังยังมีรถเมล์จี้ตูดมาอีก ไม่ได้กลัวอะไรมากหรอก แต่มันไม่น่าไว้ใจเลย เพราะเวลาเขาจะเข้า จะออกซิ่งแซงก็จะออกมาแบบไม่เกรงใจใคร

จากนั้นก็มาช่วงทางตรง เลยตลาดคลองเตยเข้าพระโขนง ยอมรับว่าถนนช่วงนี้ขับยากพอสมควรเพราะมีรถเข้าออก ตามไหล่ทางเสมอ เลนขวาก็จะวิ่งกันอย่างเร็วและบางทีก็ชะแล๊บเข้าเลนกลางเพราะมีรถจะเลี้ยวขวากับกลับรถ ยิ่งเวลามีรถเมล์ตามมาติด ๆ ก็ต้องระวังอย่างมากตามอารมณ์ของแกเหมือนเดิม ส่งผู้โดยสารที่ป้ายเสร็จก็จะตีไฟเข้าเลนกลางเป็นประจำ

พอเลี้ยวขวาเข้าสุขุมวิทก็มีอีกเสียว เพราะรถเมล์จะเลี้ยวซ้ายออกจากแยกพระโขนง ในขณะที่สายตรงนั้นเป็นเพิ่งจะเป็นไฟเขียวใหม่แค่ไม่กี่วินาที โอยย.. รถก็กำลังซิ่งออกจากไฟ รถเมล์เกือบเสียบเข้ากลางคันเราแล้วสิ เสียวมาก ๆ ไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เสียดายรถอ่ะ

ยังมีอีกเสียวตอนเราจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอ่อนนุช เผอิญว่าเราตีวงกว้างไปหน่อย เกือบจะเสยกับรถที่ออกจากซอยตรงไปแดงพอดี ยอมรับว่าจุดนี้เสียวกว่าเจอรถเมล์ที่สามแยกพระโขนงซะอีก :)


วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550

จอดเลยเส้น

เช้านี้ มีเรื่องมาเล่าอีกแล้ว ก็ตรงที่กลับรถเข้าออฟฟิซ เราเองก็จอดเป็นคันแรก ซึ่งตำรวจก็บอกให้จอดเลยเส้นไปหน่อย ประมาณว่าไม่ต้องจอดตรงเส้นก็ได้ ก็จัดให้เขยิบรถไปข้างหน้านิดหนึ่ง

พอไฟแดงเส้นทางตรงปุ๊บ ไฟเขียวให้รถวิ่งออกจากซอยกัน เขาก็วิ่งกันปกตินั่นแหละ แต่ไฟกลับรถยังแดงอยู่ เราก็มอง ๆ ว่า เอ จะไปได้ป่าวนา.. มอไซต์ก็ยังจอดไม่ซิ่งออกไปเหมือนเคย แล้วคุณตำรวจก็มาเคาะกระจกบอกให้ออกไปเลย อ้าว ไปก็ไป ..

แน่นอนว่าถ้าเราเป็นคันที่สอง ที่สามก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะจะตามเขาไปเสมอแหละ :)

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

รับรถได้แล้วครับ

ตอนบ่าย ช่างโทรมาบอกว่ารถของพี่กำลังล้างอยู่ น่าจะเสร็จอีกสักชั่วโมง ให้เข้ามารับได้ แน่นอนครับ ว่าเราต้องรีบไปดูหน่อย เขาอุตส่าห์โทรมาแจ้งทั้งที เพราะก่อนนี้ ช่างเขา ก็โทรมาบอกว่าคิ้วกันสาดตรงข้างประตูนั้น เขาแกะออกมาหมดเลย เพราะต้องเปลี่ยนใหม่แทนอันเก่า แต่ว่าอะไหล่ยังไม่มี คงต้องรอหลังปีใหม่ เราก็ตอบโอเคแหละ เพราะยังไงก็ไม่ได้ผลมากขณะขับ อาจจะดูโหลน ๆ ก็ยังรับได้..

พอไปถึงก็คุยกะช่าง และเขาก็มาแนะนำที่รถเลยว่าต้องดูตรงนั้น ตรงนี้ เวลาขับได้กี่กิโลเมตร ประมาณนี้ แต่จริง ๆ เราก็ซึมเข้าสมองบ้าง ไม่เข้าบ้าง เพราะยังไม่รู้จะดูอะไรกันแน่ เวลาต้องทำจริง ๆ บอกตามตรงไม่รู้เรื่องรถเอาเลยจริง ๆ

ช่างก็แนะนำอยู่ประมาณ 10 - 15 นาทีได้ แล้วให้เราเซ็นเอกสารการรับส่งรถ พร้อมเอกสารที่ต้องให้พี่ รปภ. ตรงทางออก พอเราเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ทเครื่องจะออกตัว เอ๊ะ เสียงอะไรดังอืดดดด อืดดด เวลหมุนวงล้อ เบรคมือก็เอาลงแล้วนี่นา พอดีมีช่างอีกคนเดินเข้ามาตรงที่จะออก เขาบอกว่าเป็นเสียงยางครูดกับพื้น ที่เป็นเหมือนกระเบื้องยางที่ปูบ้านแบบถูกยังไม่รู้อ่ะ เอ่อ ... แบบนี้ก็มี :)

เอารถเข้าศูนย์

ขับรถมาเกือบ 2 เดือนแล้วแต่ยังไม่ได้เช็คแบบจริงจังสักที ช่วงนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว เลยถือโอกาศเอารถเข้าศูนย์ไปเช็คสักหน่อย ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ ก็ศูนย์ศรีนครินทร์ใกล้บ้านนี่เอง

พอก้าวเข้าฝ่ายช่างก็งงเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะเริ่มที่ไหน ตอนนั้นคนยังไม่ค่อยมีเท่าไร ก็เห็นน้องคนหนึ่งว่าง ๆ ก็เข้า เขาก็บอกให้เราไปกดบัตรคิวที่ตู้ทางเข้า อืมม รับบัตรคิวเสร็จก็นั่งรอ แป๊บเดียวเองแหละครับ แล้วคนรับเรื่องก็พาไปดูรถว่าจะทำอะไรมั่ง ก็บอกว่าให้เช็ครถหน่อยเพราะยังไม่ได้เช็คตั้งแต่ขับมา และช่วยซ่อมคิวกันสาด ที่มันเริ่มปริออกมาบ้างแล้วทางด้านคนขับ จากนั้นก็ออกเอกสารส่งมอบรถให้กับช่าง และตกลงกันว่าจะรับรถเมื่อไร

ออกจากโชว์รูมมาก็เดินไปป้ายรถเมล์ โชว์รูมนี้เสียมากตรงที่หาป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ ไม่มีเลย ต้องเดินไกลและต้องข้ามถนนแบบเสี่ยง ๆ เหมือนกัน พอขึ้นเมล์สาย 133 มั้ง (?) คิดว่าจะไปเดินเล่นที่ซีคอนหน่อย เผื่อได้ไปดู Pocket PC สักเครื่อง ซึ่งจะเอาไว้ใช้เก็บข้อมูลการเดินทาง การเติมน้ำมัน และก็ที่สำคัญเขียนไดแอรี่ มองมาหลายวันหลายสัปดาห์แล้ว แต่คงยังไม่ซื้อหรอก เอาไว้หลังปีใหม่หรือไม่ก็งานคอมมาร์ตตอนต้นปีหน้า ราคาน่าจะลดลงมาอีกเยอะ :P

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เอาแก๊ซโซฮอล์ 95

เช้านี้ต้องเติมน้ำมันอีกแล้วสิเรา จริงแล้วก็ถ้าไม่ออกต่างจังหวัด มัก็ยังไม่เท่าไรหรอก ใช้ได้นานเหมือนกัน แต่ถ้าออกต่างจังหวัดเมื่อไร รู้สึกว่ารถจะกินน้ำมันพอควร เพราะเหมือนกับว่าปรับสภาพยังไม่ถูกว่าตอนนี้วิ่งในเมืองหรือนอกเมือง หรือว่าผมยังใหม่เรื่องรถเรื่องราอยู่ ..

แน่นอนว่าวันนี้คงไม่ถามหาแก๊ซโซฮอล์ 91 ให้เมื่อยแล้ว เอาแก๊ซโซฮอล์ 95 เต็มพร้อมย้ำกับเด็กปั้มว่าเป็นแก๊ซโซฮอล์ 95 ไม่งั้นได้เบนซิน 95 แทนเหมือนครั้งที่แล้วอีก เซ็งจริง ๆ จ่ายเงินเท่ากันแต่ได้น้ำมันน้อยหว่าตั้ง 5 ลิตรแน่ะ ท่านทั้งหลายอาจจะบอกว่าแค่ห้าลิตรเอง แต่เชื่อเถอะครับ ห้าลิตรก็พาไปได้ไกลอยู่นา ... :)

เอาแบบสถิติหน่อย ก็ผมจดรายละเอียดการเติมน้ำมัน 3 ครั้งล่าสุดไว้ เมื่อนำมาคิดคำนวณจากโปรแกรมเรื่องการเงินที่ดาวน์โหลดมาใช้ ดูแล้ว อัตราการกินน้ำมันอยู่ที่ 6.6 กม. ต่อลิตร แต่ถ้าเป็นค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 11.8 กม. ต่อลิตรเชียวนะครับ ถ้าถามผมว่าคิดอย่างไร เพราะข้อมูลดิบที่ได้มาก็เช่น วันที่เติมน้ำมัน จำนวนที่เติมต่อครั้ง (บาท) จำนวนน้ำมันต่อครั้ง (ลิตร) ราคาที่หัวจ่าย (ต่อลิตร)และเข็มไมล์ ณ ขณะเติมที่น้ำมัน จากนั้นก็เอามาบวกลบคูณหารกันตามประสาที่น่าจะเป็นไปได้ หรือจริง ๆ แล้วท่านอาจจะเข้าไปดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาลองใช้งานดู จะได้มีไอเดียเจ๋ง ๆ ว่าจะคิดคำนวณเรื่องอะไรบ้าง

ลิ้งค์ :
Keywords: Gasohol, Honda Jazz

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

มอเตอร์เวย์ ใจดี ให้วิ่งฟรี

มอเตอร์เวย์ ใจดี ให้วิ่งฟรี 27 ธ.ค.- 3 ม.ค.

ข่าว รายงาน กรมทางหลวง เปิดให้ประชาชนวิ่งฟรีบนถนน มอเตอร์เวย์ สายกรุงเทพฯ-ชลบุรี และ มอเตอร์เวย์ ถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 27 ธันวาคมนี้ ถึงวันที่ 3 มกราคม 2551 เพื่อมอบให้เป็นของ ขวัญปีใหม่ และปัญหาการจราจรบริเวณหน้าด่าน มอเตอร์เวย์

นายสุรชาติ ลีรคมสัน ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง กรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ สำนักทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองจะเปิดให้ประชาชนวิ่งฟรีบนถนนมอเตอร์เวย์สายกรุงเทพฯ-ชลบุรี และถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก

โดยประชาชนผู้ใช้ทางสามารถวิ่งผ่านด่านธัญบุรี ด่านทับช้าง ของถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก และวิ่งผ่านด่านลาดกระบัง ด้านพานทอง ของถนนมอเตอร์เวย์สายกรุงเทพฯ-ชลบุรี ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 27 ธ.ค.นี้ ถึงวันที่ 3 ม.ค. 2551 เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ และปัญหาการจราจรบริเวณหน้าด่าน เนื่องจากในช่วงวันดังกล่าวจะมีประชาชนในเส้นทางเป็นจำนวนมาก หากต้องจอดจ่ายค่าผ่านทางบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดการจราจรติดขัดยาวเหยียดได้

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม แจ้งว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมแผนอำนวยความสะดวก มั่นคงและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2551 มีหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วม

โดยที่ประชุมเห็นชอบให้หน่วยที่ดูแลรับผิดชอบโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ในเส้นทางหลักและเส้นทางรอง ขอความร่วมมือผู้รับเหมาหยุดการก่อสร้างและคืนผิวจราจร ให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก และ ติดป้ายเครื่องหมายต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้สัญจรไปมา ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.นี้ ถึงวันที่ 3 ม.ค. 2551

bk_keywords:Honda Jazz, Honda, Car, Tollway, Motor way, automobiles.

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

มีเสียงอี๊ดดดดด ตอนสตาร์ทเครื่อง

เช้านี้ เจออะไรแปลกแต่เช้าเลย ก็ตอนสตาร์ทเครื่องครั้งแรก มีเสียงอี๊ดดดดด ยาวออกมาจากด้านหน้า ส่วนไหน มุมไหนก็ไม่ทราบได้ พอกำลังจะเปิดประตูลงไปดู อ้าว เงียบซะแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นที่สายพานแน่ๆ แต่ไม่ได้เปิดกระโปรงหน้ามาดูนะ ก็อย่างว่าแหละ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องรถเลย พอเห็นว่าดีแล้วก็ไม่รู้จะดูอะไรดี เสียงมันก็เงียบแล้ว คงไม่มีอะไรมากหรอกมั้ง

ตอนที่ขับรถไปก็คิดอยู่ว่าเย็นนี้ต้องลองดูอีกที หากยังมีเสียงแบบนี้อีกคงต้องรีบเข้าศูนย์ให้ช่างเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียหาย หรือก่อให้เกิดอันตรายตอนขับได้ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า จริงมั้ยครับ :)

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ชมทุ่งทานตะวัน

ออกเดินทางยามเช้า

ตื่นมาประมาณตี 5 ได้เพราะนอนไม่หลับอีกแล้ว แต่ยังไม่ได้ลุกจากที่นอนหรอก ไม่รู้จะไปทำอะไรดีเช้า ๆ แบบนี้ อีกอย่างก็นัดกับเพื่อน ๆ ไว้ตอน 6.30 น. ว่าจะไปเที่ยวทุ่งทานตะวันที่ลพบุรีกัน พอใกล้จะหกโมงก็ลุกขึ้นอาบน้ำ จัดเตรียมสิ่งของว่าจะเอาอะไรไปมั่ง ส่วนใหญ่ก็อุปกรณ์ทั่ว ๆ ไปสำหรับนักท่องเที่ยว เช่นกล้องดิจิตัลกับขาตั้งกล้อง ถ้าไม่เอาไปด้วยเดี๋ยวตากล้องก็ไม่ได้ถ่ายรูปกับเขาสักที นอกจากนั้นก็เป็นเสื่อพลาสติค น้ำสัก 2-3 ขวดพอลงมาที่รถก็จัดของใส่รถ เพื่อนที่นัดไว้ก็มาพอดี ไม่นานเราก็ออกเดินทางครับ

เส้นทางก็ไปกันง่าย ๆ ธรรมดา คือขับตามถนนอ่อนนุชไปเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 9 (ที่เรียกว่าวงแหวนตะวันออกมั้งครับ) ที่แถวเขตประเวศ พอขึ้นทางด่วนมาก็วิ่งเร็วบ้าง ช้าบ้างเพราะรถวันนี้เยอะพอควร แต่ไม่ถึงกับว่าวิ่งเร็วไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็วิ่งในช่วง 90 - 100 เท่านั้น เพราะไม่อยากวิ่งเร็วมาก อยากไปเรื่อย ๆ มากกว่า ไม่ต้องรีบร้อนอะไร

พอผ่านตัวเมืองสระบุรี ก็แวะปั้ม Jet เพื่อเติมน้ำมันสักถังก่อน ซึ่งมันก็น่าจะหมดตั้งนานแล้ว แต่วิ่งมาได้เป็นร้อยกิโลแบบนี้ ก็รู้สึกว่าดีจริง ๆ ที่รถเราไม่ได้เข้าสูบน้ำมัน และคราวนี้เราตั้งว่าจะเติมเป็นแก๊ซโซฮอล์ 95 แทน เพราะหลังจากที่หาโซฮอล์ 91 ไม่ได้เมื่อครั้งที่ไปซาฟารี

ชมทุ่งทานตะวัน

หลังจากนั้นก็ขับไปเรื่อย ๆ ถึงแยกพุแค เลี้ยวขวาไปทางพนัสนิคม ไปได้ไม่ใกลก็พอมีทุ่งทานตะวันเป็นหย่อม ๆ แต่ไม่ได้สวยเลยเพราะคงเริ่มฤดูเก็บเกี่ยวกันแล้วละมั้ง มีหลงทางบ้าง ก็จอดถามคนที่เขาเดิน ๆ อยู่แถวข้างถนนแหละ ถ้าเรายึดทางไปเขื่อนป่าสักฯ ก็เรียบร้อย คือจะง่ายมากว่าจะไปทางไหน หาป้ายได้ง่ายกว่าจุดหมยอื่น ๆ ที่สำคัญคือไม่หลงทาง !!!

ขับรถไปเรื่อย ๆ ตามถนนหมายเลข 3314 ง่ายดี ก็เจอไร่ทานตะวันขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก รถจอดกันทั้งสองข้างทาง เออ.. น่าจะเป็นตรงนี้แหละ อย่างน้อยคนก็ลงไปเยอะ แน่นอนว่าต้องจอดรถตามใหล่ทางแหละ แบบบ้านทุ่งจริง ๆ แล้วก็เดินเข้าไปตามที่คน ๆ เขาเดินไปอ่ะ

หากมองลึกเข้าไปในไร่แล้วจะเห็นว่า ดอกทานตะวันกำลังเบ่งบานกันทั่วทั้งทุ่งเลย สวยงามมาก ยิ่งถ้าเป็นตอนเช้าที่ดอกกำลังบานตอนเช้าต้อนรับแสงตะวัน คงสวยงามอย่างมาก เราก็เดินเข้าไปในไร่เก็บภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มุมนั้นบ้าง มุมนี้บ้าง ถ่ายภาพได้ร้อยกว่าภาพมั้ง ดีนะที่เป็นกล้องดิจิตัล เพราะถ้าเป็นกล้องฟิล์มก็คงหมดไปหลายม้วนแล้ว เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการเดินทางครั้งนี้ที่เดียว

แต่... ทราบมั้ยว่าต้องเสียค่าเข้าชมด้วย?!?! เป็นความจริงครับ ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5 บาท แต่ผมว่ามันไม่ได้มากมายอะไรนักหรอกที่จะจ่าย เพราะเดินเข้าไปเเล้วมันสวยจริง ๆ และที่เห็น ๆ ก็ต้นทานตะวันเหล่านั้นโดนเหยียบล้มกันเยอะมาก นี่ ขนาดผมมาเช้าแล้วนะยังมีเยอะ ขนาดนี้ ถ้าเป็นตอนบ่าย ๆ คนเยอะกว่านี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ฉะนั้น คนละ 5 บาทก็คงไม่คุ้มค่ากับความเสียหายจากการโดนเหยียบย่ำตลอดทั้งวัน.. ก็อย่างว่าแหละครับ เมื่อเขาเปิดให้คนเข้าชม ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน .. :)

เข้าเขื่อนป่าสัก ฯ

พอจะเข้าเขื่อนป่าสักฯ ก็มีอะไรให้เจ็บใจเหมือนกัน คือรถมันเยอะ คนเขาก็ขับช้า ๆ ตามกันมาแหละ แต่พวกที่ไม่มีมารยาทอ่ะนะ ขับคล่อมเลนมาทางซ้าย ตามไหล่ถนน เสร็จแล้วมันก็มาชะแว๊บเข้าทีละคัน สองคัน เหมือนกับพวกที่ชอบชะแว๊บเข้าตามคอสะพานหรือทางแคบ ๆ แหละครับ ตอนแรกก็กะไม่ให้เข้าแล้ว เบียดเข้ามา ผมก็เบียดขึ้นไป เหลือนิดเดียวจริง ๆ ถ้าขยับอีกไม่ถึงครึ่งล้อก็มีหวังสะกิดกันแน่ ๆ แต่น้องที่นั่งมาด้วยขอไว้บอกว่าให้เขาไปเถอะ เสียเวลาที่ไปตอแยกับคนพวกนี้ มันน่าเจ็บใจไหมละท่าน เกลียดจริง ๆ พวกไร้มารยาทเช่นนี้ เห็นแก่ตัว ขอให้ได้ไปก่อน เฮ้ยยย .. เซ็ง !!!

พอเข้าไปข้างใน คนก็เยอะเหมือนกัน มิน่าล่ะ รถติดจริง ตรงทางเข้ามา ตอนแรกก็ได้ที่จอดดีหรอก แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแถวนั้น เลยเลื่อนไปใกลหน่อย หาที่จอดใหม่อีกที ใกล้ ๆ ห้องน้ำอ่ะ ไหน ๆ ก็จอดแล้ว แวะเข้าห้องน้ำกันหน่อย จากนั้นก็มองรอบ ๆ ก็ยังไม่มีอะไรน่าสนใจอยู่ดี มันโล่ง อากาศร้อน ไม่มีจุดที่น่าสนใจเลย ก็เลื่อนไปอีกตรงหน้าออฟฟิซมั่ง เพราะมีขบวนรถไว้บริการนักท่องเที่ยว ไปชมรอบ ๆ เขื่อน ๆ หรืออาจจะไปถึงสันเขื่อนมั้ง เอาเป็นว่าตรงนี้ก็พอได้ อากาศเย็นสบายดี และก็มีที่จอดรถในร่มด้วย แต่ก็วนหาที่จอดรถอยู่นานเหมือนกัน

ทานข้าวเที่ยง

เชื่อมั้ยครับพี่น้อง .. ขับรถออกจากกรุงเทพมาซะใกล แต่ไม่รู้จะแวะกินข้าวที่ไหนกันดี เจอโลตัส ลพบุรีก็เลี้ยวซ้าย แบบตัดหน้าเข้าเข้าไปในห้างอีกต่างหาก แต่ก็ไม่ได้ทำแบบน่าเกลียดหรอกครับ ตีไฟเลี้ยวไปตั้งนานแล้วกะให้เขาขับผ่านเลยไปก่อน เราก็ขับชะลอไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่ยอมตีห่างจากเรา ก็เลยซิ่งไปข้างหน้าแล้วค่อยชะแล๊บเข้าซ้าย เท่านี้นก็เรียบร้อย ... :O พูดเรื่องกินข้าวกันต่อ พอเข้าจอดในโลตัสเสร็จ ก็มอง ๆ อยู่ว่าจะกินอะไรดี มองไปเห็น MK อ่ะ .. MK ก็ MK...

พระปรางค์สามยอด

ตอนบ่าย ก็พากันเข้าเมืองลพบุรี คุยกันว่าไปเที่ยวไปชมฝูงลิง แถวพระปรางสามยอด ในเมืองลพบุรีซะหน่อย พอไปถึงก็หาที่จอดรถนานมาก เพราะพระปรางค์นั้นตั้งอยู่ในตัวเมือง และมีรถเยอะมาก ตอนแรกขับผ่านหน้าไปแล้วก็ไม่มีที่จอด แล้วก็เลี้ยวเข้ามาใหม่ โอ.. มีที่ว่างพอดี แต่พอกำลังจะเข้าเทีบยจอด มองไปเห็นรถปิกอัพคันที่จอดอยู่ข้างหน้า โอ้ มายกอด ... สภาพเละมากครับเพราะเจ้าลิงน้อยใหญ่เหล่านั้น ขึ้นไปบนหลังคาแล้วก็ดึงเส้นยางตามรอยขอบประตู ขอบกระจกออกมาดึงเล่นกัน วางเกลื่อนที่พื้นก็มี โอย.. แบบนี้ถึงจะสนุกยังไงก็ไม่เอาด้วยหรอกครับ แต่ระหว่างนั้นก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาที่รถคันนั้นพร้อมหนังสะติ๊ก คิดว่าเขาคงจะคอยไล่ลิงที่มาก่อกวน สร้างความรำคาญกับรถที่จอดกันแน่ ..

สองภาพข้างล่าง ผมบอกให้เพื่อนที่นั่งข้างๆ ถ่ายเอาไว้ให้หน่อย เผื่อวันหลังใครผ่านไปแถวนั้นจะได้ระมัดระวังเอาไว้บ้างครับ



เย็นแล้วกลับ กทม.

หลังจากที่เราตกลงกันในรถแล้วว่าคงไม่คุ้มกันแน่ ถ้าจะจอดรถทิ้งไว้แล้วไปเดินถ่ายรูปรอบ ๆ พระปรางค์สามยอดอย่างที่ตั้งใจไว้ อาจจะมองโลกแง่ร้ายไปหน่อย แต่ตัวอย่างเห็นกับตาแบบนี้ ก็ไม่ขอเสี่ยง เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับรถของเราจริง ๆ มันสูญเสียมากกว่าความพอใจที่ได้ถ่ายรูป เลยกลับขึ้นรถเตรียมตัวเข้ากรุงเทพดีกว่า กลับเร็วก็ถึงเร็ว :)

อาหารมื้อเย็น

สุดท้ายก็เลยมาลงเอยที่ร้านส้มตำเจ้าเก่าหน้าปากซอย เพราะอยากกินอะไรที่เป็นบ้าน ๆ ม่กกว่า เลยแวะจอดรถซื้อส้มตำกับตำซั่ว ไก่ย่างกับปลาดดุกสักตัวไปเป็นอาหารมื้อเย็นอย่างอะเหร็ดอร่อย :P

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ว่าด้วยเรื่องรถใหม่

ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้อัพเดทบลอกอื่น ๆ มาเท่าไร เพราะต้องหาข้อมูลการใช้รถ ใช้ถนน หลักการใช้งานรถทั้งทั่วไปและเจาะจงเฉพาะอย่าง เช่น การตรวจเช็คลมยาง การเติมลมยาง การล้างรถ น้ำมัน วิธีการเดินทางให้ปลอดภัยและแม่นยำ ไม่ใช่ว่าเวลาจะไปจริง ๆ ค่อยมาดู แล้วหลงทางตลอดการเดินทาง รวมทั้งต้องคอยติดตามเรื่องราคาน้ำมัน แต่ละวันว่าจะขึ้น จะลงวันไหนบ้าง แม้ว่าจะไม่ค่อยใส่ใจกันเท่าไร เพราะมันเปลั่ยนบ่อยจริง ๆ บางทีก็ต้องหาด้วยว่ามีขายที่ไหนบ้าง โดยเฉพาะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วหาแก๊ซโซฮอล์เติมไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตกลงว่าใครขาย ใครผลิตก็ไม่รู้ เหมือนกับมีการตุนไว้ให้ราคาขึ้นแล้วค่อยเอามาขายหรือป่าวนะ :(

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องความปลอดภัยในการจอดรถ การหาที่จอดให้ปลอดภัยด้วย ผมยังเคยคิดจะหาวิธีการติดกล้องวงจรปิดเล็ก ๆ ไว้ในรถ แล้วดูภาพทางมือถือหรือคอมที่ห้องนอนเลย ดูเหมือนว่าจะเห่อ(เว่อร์) ไปหน่อย แต่ก็รถคันแรกในชีวิตอ่ะ ต้องระวังให้ดี จริงใจครับ

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม :

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (ปตท.)
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 (บางจาก)

bk_keywords:Honda Jazz, Honda, Car, automobiles.

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2550

อ้าว ติดค้างบนสะพาน

เย็นวันนี้ ขับรถกลับบ้านตามปกตินั่นแหละ พอถึงสะพานใกล้ปากซอยเข้าบ้าน เผอิญว่ารถติดอยู่คอสะพานพอดี คิดว่ารถน่าจะเข้าออกซอยเยอะไปหน่อย เลยติดยาวมาถึงสะพานได้ พอรถเริ่มออกตัวไป ก็เหลือเราที่ค้างอยู่คอสะพานตรงนั้น จริง ๆ ก็ ปล่อยจากเบรคไปเหยียบคันเร่งเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมรถไม่ยอมออกตัวสักกะที แถมมีการไหลไปข้างหลังอีกต่างหาก โอย.. ไม่ได้การแล้ว เหยียบคันเร่งลงไปอีก ไหน ๆ ก็ไม่มีรถข้างหน้าแล้ว .. เออ.. ก็ไปได้นะ ตกลง เราเหยียบคันเร่งน้อยไปมั้ง ?!?!

:)

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ที่จอดรถอันสุดแคบของห้าง

เมื่อคืนนี้ไปร่วมงานแต่งของเพื่อนที่อิมพีเรียล-สำโรง ตอนแรก็คิดว่าจะลองไปเส้นศรีนครินทร์ เลยไปทางเทพารักษ์ แล้ววกเข้ามา แต่ไม่ค่อยรู้ทางเลยขอไปเส้นบางนาดีกว่า รถติดหน่อย อย่างน้อยก็รู้เส้นทางเป็นอย่างดี แต่ถนนเส้นนี้ ถ้าเลี่ยงได้ ให้เลี่ยงเถอะครับ ถนนแคบ รถเยอะ เป็นหลุมเป็นบ่อตามขอบถนน บางทีก็เจอปุ่มตรงกลางถนนเลย และก็ตรงขอบแผ่นเหล้กที่นำมาวางต่อๆ กันแทนลาดยาง ก็ไม่ได้เรียบมาก ถ้าเป็นรถใหญ่หน่อยก็อาจจะไม่รู้สึกมาก แต่รถของเรามันเล็ก นิด ๆ หน่อยๆ ก็ตึ้งๆ ตั้ง ๆ หลบกันวุ่นวายทีเดียว

จริง ๆ แล้วในการ์ดแต่งงานเขาก็แนบแผนที่เล็ก ๆ มาให้ด้วยเพื่อให้สะดวกในการเดินทาง ดูตามแผนที่ก็เข้าใจแหละว่าจะไปได้อย่างไร คือถ้ามาจากทางบางนา แผนที่ก็บอกให้กลับรถใต้สะพาน ไอ้ตรงใต้สะพานนี่สิครับ เกือบเลยสะพาน เพราะคนเดินกันขวักไขว่ จนแทบไม่เห็นช่องซ้ายสุดที่มีสำหรับกลับรถข้าง ๆ สะพาน พ่อค้าแม่ค้าก็วางของล้นออกมา จนไม่ได้คิดว่าจะเป็นทางกลับรถเลยสักนิด

พอเลี้ยวซ้ายเข้าห้างก็วุ่นวายเหมือนเดิม คนเดิน รถเยอะ แบบแทบจะไม่รู้ตรงไหนทางรถ ทางคน หนำซ้ำต้องหาทางเข้ากันอีกว่าตรงไหน ทางเข้าจอดในห้าง เห็นแต่ Exit ตลอดเลย เราก็วนไปข้างหลังโรงพยาบาล เลี้ยวขวา เเล้วก็หยุด เออ .. ไปไหนต่อดี เหมือนจะเป็นการเดินรถทางเดียว พอจะถอย .. อ้าววว มีรถตามมา งั้นเดินหน้าละกัน...

สุดท้ายก็มาถึง Enter โอยย.. จะบ้าตาย เจอทางขึ้นของที่จอดรถของห้างแล้วสุด ๆ แคบก็แคบ มองอะไรก็ไม่เห็นทั้งสองข้างทาง และก็ต้องวนขึ้น 180 องศามั้ง จะสิ้นสุดเมื่อไหรก็ไม่อาจจะรู้ได้ ก่ออิฐขึ้นมาบังทำให้เหมือนอยู่ช่องแคบ ๆ ทึบ ๆ ตลอดการขึ้น พอหลุดโค้งต้องออกขวาทันที ห้ามตรงไปโดยเด็ดขาด เพราะทางขึ้นอยู่ไม่ใกลจากตรงนั้น !!!

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ไม่ขายแก๊สโซฮอล์ 91 กันแล้วเหรอ

แม้ว่าจะเป็นวันหยุด แต่ต้องตื่นมาเช้า ๆ เหมือนเดิม เพราะต้องเตรียมตัวไปร่วม Family Day กับเพื่อน ๆ ที่ทำงาน กว่าจะออกจากบ้านได้ก็ประมาณ 7 โมง คงต้องไปเติมน้ำมันก่อนเดินทางแล้ว ไม่งั้นไม่ถึงซาฟารีเป็นแน่ พอเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีนครินทร์ ก็มองหาปั้มน้ำมัน ตอนแรกก็คิดว่าจะเข้า ปตท. หรือไม่ก็ปั้มบางจาก เพราะคงมีแก๊สโซฮอล์ 91 (Gasohol) แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่มีขายทั้งนั้น ปตท. ยิ่งหนักไปอีก ไม่มี 95 ขายด้วยซ้ำ ขับรถหาอยู่หลายปั้ม ก็ยังไม่ได้น้ำมันใส่รถ ลองเข้าปั้มเชลล์กับเอสโซ่ ก็ไม่มีแก๊สโซฮอล์ 91 ขายกันเลย เอาล่ะ ไม่มีก็เอาเบนซิน 91 แทนที่เอสโซ่นี่แหละ ไม่งั้นก็ได้จอดกลางทางแน่ ... งงเลยครับ พี่น้อง.. ตกลงพลังงานทางเลือกหรือพลังงานบังคับกันเนี่ย ?!?!

Gasohol

Google
 

Download unlimited stock photos!

Wikipedia

ผลการค้นหา