วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การจอดรถที่ รพ. บางนา

เผื่อว่าใครมีโอกาศจะต้องขับรถเข้าไปจอดที่โรงพยาบาลบางนา และพอไปถึงหน้าโรงพยาบาลแล้วมักหาที่จอดไม่เจอ ถ้าหวังจะจอดด้านหน้าเลย ไม่ต้องคิดเลยครับเพราะเข้าจอดได้แค่ 2-3 คันก็เต็มแล้ว ถ้ามีพี่ยามหรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่แถวนั้นก็พอจะรู้ว่าต้องเข้าด้านใน

แต่ถ้าไม่มีคนคอยยืนบอกอยู่แถวนั้น ก็ต้องพยายามช่วยตัวเองให้ได้ก่อน อาจจะเรียกว่าลำบากสักหน่อยล่ะครับ

เอาล่ะ มาดูกันว่าจะเข้าไปลานจอดยังไงดี ..

ถ้าขับมาทางเข้าโรงพยาบาลจะอยู่ในช่องทางขวามือของโรงพยาบาล เป็นทางแคบ ๆ เข้าไป ถ้าเป็นรถปิคอัพหรือรถตู้ก็อาจจะต้องระวังสักหน่อย เพราะมันแคบมากจริง ๆ

อีกทางเข้าหนึ่ง .. เราสามารถเข้าตรงซอยใกล้ ๆ ที่ถัดจากทางเข้าโรงพยาบาลจริง ๆ ก็ได้ (ขับเลยโรงพยาบาลไปก่อน) แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ลานจอดรถอีกทีหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่ามันก็สะดวกและง่ายกว่าตั้งเยอะ แต่ผมไม่แน่ว่ามีป้ายบอกทางเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า ถ้าไม่มีอาจจะต้องสังเกตให้ดีก่อนที่จะขับเลยไปครับ

เมื่อขับผ่านตัวตึกของโรงพยาบาล จะเห็นว่ามีทางเลี้ยวซ้ายขวาและตรงไป (ทางขวาคือทางเข้าจากซอยด้านข้างนั่นเองครับ) เมื่อมองซ้ายขวาแล้วเห็นว่าปลอดภัยก็ให้ขับตรงไปขึ้นไปที่ลานจอดได้เลยครับ

พอขับขึ้นไปอาจจะงงนิดหนึ่งว่าจะจอดที่ตรงไหนดี เพราะเขาวางแนวจอดแบบแปลก ๆ เหมือนกัน โดยรวมก็คือการขับวนขวา พอขึ้นไปชั้น 2-3 ถ้าเห็นตรงไหนว่าง ก็เข้าจอดได้เลยไม่มีการติดป้ายสงวนสิทธิ์การจอดครับ ระวังแค่ว่าอย่าไปจอกขวางเข้าออก ทำให้คนอื่นเขาหมั่นใส้เอาก็พอแล้ว

สุดท้าย ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าไม่มีทางเข้าระหว่างอาคารจอดรถกับอาคารของโรงพยาบาล ต้องเดินลงบรรไดไปชั้นล่างก่อนแล้วค่อยเข้าทางประตูด้านหลังของโรงพยาบาลอีกทีครับ !!

ปล. ใกล้ทางเข้าด้านหลังจะมีมาร์ทร้านหนึ่งแต่ขายของช้าและแพงสักนิดหนึ่ง ถ้าไม่รีบมากก็อาจจะเดินอ้อมออกไปด้านนอกหาร้านอื่นก็ดีเหมือนกันครับ



วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อยากเปลี่ยนเป็น 4wd จริงๆ

เผอิญผมมีธุระด่วนที่ต้องกลับบ้าน ซึ่งตอนขาไปก้ไม่มีอะไรมา เราไปกันแค่ 3 คน แต่พอขากลับ ผมไม่ได้กลับทางเดิม เพราะจะเยี่ยมพี่สาวที่บนเขา ไหนๆ ก็มาแล้ว น่าจะลองไปเยี่ยมแกสักหน่อย ลองหาโอกาศขับรึ้นลูกนี้สักครั้ง

เช้า 9 โมงกว่า เราออกเดินทางขึ้นเขา คราวนี้ เรามีผู้โดยสารเพิ่มมาอีกคน ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็ไม่มีอะไรมากนัก เพราะถนนยังเป็นทางลาดยาง แต่พอใกล้จะถึงจุดหมายเท่านั้นแหละ ผมยังกล้า ๆ กลัวๆ ว่าจะไปไม่ไปดีล่ะเนี่ย .. ลองดูถนนข้างล่างนี้นะครับ ..

แต่พอขับลงไปจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ผมขับช้าเท่าที่จะช้าได้ เพราะถ้าขืนเร่งเครื่องอย่างเดียวคงไปไม่ไม่รอดแน่ ๆ แค่น้ำหนักที่ขนไปตอนนี้ก็เยอะพอแล้ว ถ้าขับแบบหนัก ๆ รับรองว่าใต้ท้องรถต้องครูดกับถนนไปหลายทีแล้ว

หลังจากนั้น มีช่วงหนึ่งที่มีรถจอดอยู่แล้วผมต้องขับผ่านไป แต่ถนนตรงนั้นมันแคบมากและไหล่ทาง มันไม่น่าจะผ่านไปได้เลยจริง ๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี .. เฮ้ยย.. โล่งอกไปที นึกว่าต้องเข็นกันซะแล้ว

ผมขับผ่านจุดเมื่อกี้ไปไกลมากนัก ผมก็มาถึงที่หมาย แต่ผมยังมองไม่ออกว่าเราจะพักกันที่ไหน พี่เขาบอกให้มองไปโน้น ต้องเดินต่อไปอีก ... ถึงไม่บอก ผมก็ไม่คิดว่าจะขับรถลงไปแน่ ๆ
แม้แต่ที่จอดอยู่ตอนนี้ ถ้าดูเผิน ๆ ก็ เหมือนทางขึ้นเขาธรรมดา แต่เมื่อผมขับไปถึง โอ .. มันขลุกขละมาก เข้ามุมโค้งอีกต่างหาก ต้องจอดแบบทำมุมให้ดีหน่อยละกัน จะได้ไม่ขวามทางชาวบ้าน

พอตอนจะถอยเข้าจอด ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจอดแบบไหนดี ผมเกือบจะพลาดถอยลงหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเพราะเพราะคิดว่าเป็นทางเรียบธรรมดา แต่ดีที่พี่เขาร้องบอกได้ทัน เลยต้องจอดเบี่ยงออกจากทางเลี้ยวนิดหนึ่ง เผื่อมีรถเข้าออก .. พอจอดรถเสร็จ ผมก็เดินลงไปที่กระท่อมกลางสวนที่ตั้งอยู่โน้นนั่นแหละครับ..

มุมนี้ ผมถ่ายตอนเดินลงไปได้กลางทางแล้ว ..


แต่มุมนี้ เป็นที่ผมหันกลับไปถ่ายรูปของผมที่จอดไว้ครับ!!

เราพักกันสัก 30 นาที แต่ก็ขนเอามะม่วง น้อยหน่าและหน่อไม้ขึ้นมาเต็มคันรถ เพราะไม่ได้ใส่เฉพาะหลังรถเท่านั้น เรายังเอามาใส่ด้านในห้องโดยสารด้วย เอาล่ะสิ แบบนี้ ผมอยากจะแปรสภาพมาเป็นรถปิกอัพแบบมีหลังคา ด้วยการพับเบาะหลังลงมาแล้วนั่งรวมกันกับถุงเสบียงไปเลยดีไหม :)

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าให้นั่งกันไปแบบธรรมดานั่นแหละ จะได้ไม่เหนื่อยมาก และเผื่อว่าตำรวจเรียกระหว่างทาง จะได้ไม่มีปัญหา ต้องมาต่อรองกันอีกสาระพัด

ผมมาเสียเวลาอีกตอนจะเข้าส่งพี่ชายที่ลพบุรี ตอนแรก ผมก็คิดว่าจะเป็นทางผ่าน ใกล้ ๆ กับสระบุรี แต่ที่ไหนได้ เลยขึ้นไปอีกจนเกือบถึงสิงห์บุรี และถนนมันไม่น่าวิ่งเอาเสียเลย ลองคิดดูถนนที่มีรถบรรทุกวิ่งทุก ๆ ชั่วโมงครับ มันเป็นหลุมเป็นบ่อ จะวิ่งเร็วก็ไม่ได้ ต้องคอยคลานไปเรื่อย ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคนแถวนั้น เขาไม่บ่นกันบ้างหรือไง หรือว่าทำใจได้แล้วสิ

ผมน่าจะเสียเวลาตรงนี้เกือบ 3 ชั่วโมง แม้ว่าระยะทางจะ ไม่กี่ร้อยกิโลเท่านั้น แต่มันวิ่งเร็วไม่ได้จริง ๆ และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะตอนนั้น คงต้องเดินหน้าต่อไป สู้ ๆๆๆๆ

พอวิ่งมาถึงก่อนจะเข้าสระบุรี ผมก็เจอฝนตกเป็นระยะ ๆ .. เป็นระยะจริง ๆ แบบขับผ่านไปก็เจออีกเป็นแบบนี้ไป 2 - 3 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งก็หนักมากเหมือนกัน เพราะโคลนที่ติดข้างรถ บังโคลนล้อและที่เกาะอยู่ตามข้างรถ มันออกหมดเลย เหมือนว่าล้างรถมาดี ๆ นี่เอง..

ผมมาจอดพักเข้าห้องน้ำที่ปั้มปิโตรนาส พหลโยธิน เพราะกลัวว่าน้ำมันจะหมดก่อนที่จะถึงบ้าน หรือพอวิ่งขึ้นทางด่วนแล้วน้ำมันหมดกลางทาง คงลำบากกว่านี้แน่ ๆ

จากนั้น ผมก็แวะส่งพี่ชายอีกคนที่ห้วยขวาง และผมไม่คิดจะเข้าพักอะไรหรอก ตอนนี้ เหนื่อย อยากกลับบ้าน อาบน้ำให้เย็นฉ่ำเท่านั้นก็พอ อดทนอีกนิดเพื่อให้ถึงที่หมาย ถ้าพักแล้วมันจะทำให้เหนื่อยกว่าเดิมแล้วไม่อยากขับรถต่ออีกนะสิ

ผมกลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่มกว่า ซึ่งตอนแรกผมกะเอาไว้แค่ประมาณ 5-6 โมงก็น่าจะถึงกรุงเทพแล้ว และก็ผิดความคาดหมายอย่างมาก !!





วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แบตอีกแล้วครับ!!

เช้านี้ งานเข้าแต่เช้าเลย ทั้ง ๆ ที่ อากาศกำลังเย็นสบายดี ..

เรื่องมีอยู่ว่า...

หลังจากที่ผมเช็ดกระจกทั้งสองข้างเสร็จ เพราะฝนตกเมื่อคืน แล้วผมก็เข้าไปนั่งรัดเข็มขัด บิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ ... แกร๊กๆๆ แกร๊กกกๆ เออ ทำไมมันดังแบบนี้นะ เป็นอะไรแต่เช้าเนี่ย ?!?!?
ผมลองสตาร์ทรถอีกครั้ง .. ฮ่าาาา โดยไม่ต้องสงสัย เป็นที่แบตเตอร์รี่ชัวร์ ๆ อาการเดียวกันกับตอนที่ผมต้องเรียก Honda service ครั้งที่แล้วเด๊ะเลย

ผมเลยเดินออกจากรถ เปิดกระโปรงหน้ารถ เปิดฝาแบตแต่ละช่องออกแล้วส่องดู อืมม เป็นไปตามที่คิด น้ำกลั่นพร่องลงไปหลายช่องเลย งั้นเอาน้ำกลั่นที่เหลือเพียงน้อยนิดหลังรถมาเติมดีกว่า เผื่อว่ามันอาจจะดีขึ้นบ้าง ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องเรียก Honda Service มาใช้บริการอีกครั้ง .. :)

เมื่อผม เติมน้ำกลั่นเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปลองสตาร์ทรถอีกรอบ สตาร์ทครั้งแรก มีเสียงท่าทางจะดีขึ้นแต่ยังไม่ติด !!

อืมม งั้นลองอีกครั้ง .. Oh Yes!! ติดแล้ว แต่ก่อนที่ติดก็มีเสียงแปลก ๆ .. ไม่เป็นไร แต่ก็ดีใจที่ติดจนได้

จริง ๆ ผมเติมน้ำกลั่นลงไปนิดเดียวเองนะ ถ้าตวงเหล้าก็แค่แก้วเหล้าเป๊กเดียวเท่านั้น :) แต่ก็แล้วล่ะ.. จะได้ไม่เสียเวลากับเรื่องรถแต่เช้า เดี๋ยววุ่นวายกันใหญ่

พอผมขับมาถึงปั้ม ปตท. ตรงสามแยกกล้วยน้ำไท ผมก็เลยแวะเข้าไปซื้อน้ำกลั่นสักขวด ๆ 11 บาท อืมม.. ก็ถูกดีนะ (ทำไม่ไม่ยักกะมีติดรถก็ไม่รู้)

หลังจากที่ได้น้ำกลั่นมาแล้ว ผมคิดแต่ว่าจะต้องหาที่เติมน้ำกลั่นให้เร็วที่สุด เพราะคงไปไม่ได้อีกไกลถ้ายังเป็นแบบนี้ และถ้าจะจอดอีกสักที่ระหว่างทางก็ชักไม่แน่ว่าจะสตาร์ทติดหรือไม่ ไม่ยังค่อยจะมี่นใจชะตากรรมตัวเองซะเลย.. ซะงั้น!

พอผมถึงที่ทำงาน จอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเปิดฝากระโปรงหน้าอีกครั้งสำหรับเช้านี้ ขอเติมน้ำกลั่นให้เสร็จ ๆ ก่อน ที่ไปทำอย่างอื่น ถ้าจะรอไว้เติมตอนเย็นคงไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่จะรีบกลับบ้านทุกที ไม่ค่อยสนใจอะรไนักหรอก และถ้าไม่เติมให้เสร็จ ขืนปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ :P






Google
 

Download unlimited stock photos!

Wikipedia

ผลการค้นหา